วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551

ว่าด้วยคำอธิบายชื่อบล้อก

นอกจากจะเขียนบล้อกไม่ให้คนหมั่นไส้แล้ว (ซึ่งทำไม่ได้หรอก) ยังต้องโป๊แต่ไม่เปลือยอีกต่างหาก (ความคิด ไม่ใช่แก้ผ้าจ้ะ)

หลายครั้งหลายคราที่ฉันมักจะสบายใจเมื่อได้รับฟังความคิดเห็นและคำปรึกษาจากคนที่แตกต่างจากฉันลิบลับ ในความต่างก็มีความเหมือน วันนี้เริ่มมีข้อสังเกตุใหม่ว่า ฉันทำตัวเด่นเกินเหตุ บ้าอะไรสักอย่างอีกแล้ว แต่พอได้ยินอีกมุมก็อดไม่ได้ที่จะชื่นใจ ทั้งที่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเชื่อได้รึเปล่า เพราะดูเหมือนว่า อะไรที่ฉันทำ ในสายตาเขาดีไปหมด คนที่มีปัญหาคือคนรอบข้าง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ฉัน แต่มุมที่เขามองก็ทำให้ฉันรู้สึกดีจริงๆ นะ การที่ข่าวลือ การอิจฉาริษยาใดๆ ของคนรอบตัวไม่ได้มีผลกระทบต่อการกระทำของฉัน ยิ่ง drive them crazy เออ กลายเป็นว่ามันน่าสนุกที่จะเล่นตามเกมส์ที่ว่านี้ไปเรื่อยๆ

แล้วฉันก็เริ่มมีแววตาสดใส คาดหวังวันคืนสนุกสนานที่กำลังรออยู่ เริ่มคิดว่าจะใส่อะไร เพื่อนคนดีบอกว่า ถ้าจะแกล้งก็ใส่อะไรที่มันสั้นๆ ยิ่งสั้นยิ่งดี ไอ้พวกที่ไม่มองอะไรสูงกว่าเข็มขัดจะได้ขาดใจตายไปนั่น

โห โห

อะไรจะมั่นใจตัวเองขนาดนั้นนนนนน เธอเอ๋ย

ที่ฉันพูดมามันเป็นคำพูดคนอื่นทั้งนั้นเลยนะเธอ ฉันเปล่าพูดให้ตัวเองดูดี (หรือดูน่าหมั่นไส้หว่า)

คืนวันศุกร์ขอนั่งทอดอารมณ์ ทำอะไรให้เบิกบาน จรรโลงใจดีกว่าเนอะ

มีหนังสือกองอยู่เป็นตั้งให้อ่านทั้งงานและบันเทิง ฉันจะได้จัดการเมื่อไหร่ละหนอ

อยากมีคนว่าฉันบ้างานดีนัก ฉันว่าฉันบ้ากับสิ่งที่ตัวเองอยากทำมากกว่านา ทำอะไรก็ทำให้มันสุดๆ เรามันเป็นพวกประหลาดอยู่แล้วนิ

อาทิตย์นี้มีเรื่องที่ควรจะกระทบความรู้สึกฉันอย่างแรง แต่ที่ไหนได้ ฉันกลับมีสติและตระหนักได้ว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนให้คนอื่นมีทัศนคติหรือมองอะไรอย่างที่เรามอง ที่เราเห็นว่าดี แม้แต่การเมือง ฉันก็เลือกที่จะเงียบไปซะ เมื่อต้องรับฟังพวกหัวรุนแรงพูดถึงสิ่งที่เขาเชื่อ เขานับว่าถูกต้อง อย่างที่พี่คนนึงบอกไว้ว่า ถ้าทุกคนชอบหรือเกลียดสิ่งเดียวกันหมด มันก็แย่นะสิ มันเป็นการรักษาสมดุลของธรรมชาติให้คนบางคนเหมือนน้ำกับน้ำมันอยู่แล้ว

ฉันแปลกใจจังที่ฉันมีความสุขกับทุกวันผ่าน มากกว่าที่คิดไว้ กอรปกับวันนี้อ่านบทสัมภาษณ์เจนนิเฟอร์ อนิสตัน อดีตศรีภรรยาแบรด พิทท์คนน่ารักนั่นแหละ เธอเคยแคร์ความคิดความรู้สึกของคนมาก แล้วนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เธอทุกข์ระทม ทุกวันนี้ เธอต้องหลีกหนีพวกปาปาราซซี่ การที่เดินถนนในนิวยอร์ก 40 บล้อกโดยไม่มีใครจำได้ช่างเป็นความสุขที่คนดังควานหาทั้งที่เราคนธรรมดามีกันอยู่ดาษดื่น เห็นมั้ยล่ะว่า โลกสร้างความสมดุลให้คนรวยอยากได้อย่างคนจน คนดังอยากเป็นเหมือนคนธรรมดา

ในเมื่อฉันจะดังระดับที่ใครๆ ก็จับตามองก็ควรจะมีความสุขกับสิ่งที่มี แล้วก็แอบแกล้งชาวบ้านชาวช่องโดยการนุ่งให้สั้นทรมานใจชาวบ้านไปซะงั้น

หนุกจัง ฮิฮิ

ว่าแต่มันแค่โป๊ แต่ไม่เปลือยใช่มั้ยเธอ

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551

บล้อกใหม่เพื่อไม่ให้กระเทือนใคร

ฉันตัดสินใจลบบล้อกเก่าทันทีแบบไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น เพราะฉันออกจะแน่ใจได้ว่า ข้อเขียนของฉันเริ่มไปกระเทือนใครเข้าให้แล้ว ดูท่าจะตั้งใจอ่านบทความของฉันน่าดูด้วยนะเนี่ย ด้วยระยะเวลาใกล้เคียงกัน มีคนเข้ามาดูข้อมูลของฉันในสองจังหวัดยาวรวดตั้งแต่สามโมงจนหกโมงเย็น ไม่ใช่แค่สอง แต่มากกว่านั้น ฉันไม่รู้จะบอกแฟนประจำนิรนามของฉันที่เฝ้าติดตามได้อย่างไร ได้แต่นึกภาวนาในใจว่า ถ้าแฟน ๆ ของฉันจะได้รับรู้เรื่องราวของฉันต่อไป เราคงได้เจอกันอีกครั้ง นะคะ

synnnie

เพื่อน...

วันนี้เพื่อนที่รู้จักกันมาเกินครึ่งชีวิตมาเยี่ยมฉัน จริงๆ แล้วเราก็อยู่คอนโดเดียวกัน แต่งานของเธอรัดตัวซะจนกลับถึงห้องก็ขอนอนดีกว่า เธอไม่ได้อยู่ที่นี่ตลอดหรอก กลับไปดูแลพ่อแม่บ้าง ส่วนฉันย้ายออกมาอยู่อย่างเต็มตัว เรามีอะไรคล้ายกันหลายอย่าง และในความคล้ายก็มีความแตกต่างอย่างไม่น่าเชื่อ

เราไม่ได้เจอกันทุกอาทิตย์หรือทุกเดือน บางครั้งห่างหายไปครึ่งปีหรือเป็นปีๆ แต่เราก็ต่างเข้าใจว่าแต่ละคนก็มีโลก มีสังคม มีงาน มีอะไรต่อมิอะไรที่ดึงเวลาไม่ให้เราได้ใกล้ชิดกันเหมือนสมัยเรียน เรารู้ว่าการห่างเหินไม่ได้แปลว่าละทิ้ง หรือลืมกันและกัน ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่ฉันรู้จัก บางครั้งฉันได้รับคำวิจารณ์ว่าไม่สม่ำเสมอ แต่ฉันว่า ฉันยินดีจะ "ต่อติด" กับทุกคนที่มีความเป็นมิตรให้กับฉัน

เมื่อไหร่ที่เจอกัน ก็ย้อนคุยเรื่องสมัยก่อน ถกกันถึงปัญหาที่เราต้องทนอยู่กับมัน เสียดายโอกาสและวันเวลาที่ไม่ได้ทำอะไรบางอย่าง หรือทำอะไรไปทั้งที่ไม่ควรจะทำ ฉันเชื่อว่า เราก็คงเป็นเพื่อนกันไปเรื่อยๆ เราผ่านมาแล้วทุกความรู้สึก เราเคยเลิกคบกัน ไม่พูดกันเป็นปี แต่แล้ว มิตรภาพ ความผูกพัน ความรู้สึกที่มีให้กัน ก็มีค่ามากจนหักล้างเหตุที่ทำให้ขุ่นเคืองกันไป

เพื่อน...ก็มีเอาไว้แค่นี้แหละ ไม่ต้องอำนวยประโยชน์ให้กัน ไม่ต้องเกื้อหนุนกันในทางธุรกิจ ไม่ต้องสนใจเรื่องเดียวกัน แต่เมื่อถึงยามยากแล้ว เราก็รู้ว่าจะหันไปหาใคร

จัดระบบ...ชีวิต

วันนี้ ฉันมีชีวิตอีกแบบ แค่เช็คและตอบอีเมล์ไม่เกินสิบนาทีมั้ง แล้วฉันก็อาบน้ำแต่งตัว เตรียมทำธุระตามที่จดโน้ตไว้ก่อนนอน หลอดไฟเสียไปสองดวงแล้ว นี่ไม่นับดวงในห้องน้ำที่เสียมาเป็นเดือน แต่ฉันก็ไม่ซื้อหลอดไฟมาเปลี่ยนซะที เพราะเปิดดวงอื่นแทน

เมื่อวันนี้ไม่เหมือนหลายๆ วันที่ผ่านมา แม้กระทั่งตอนนี้ที่ฉันกำลังอัพบล๊อกอยู่ ก็ไม่มีธุระปะปังอะไรต้องทำ จึงเป็นเวลาเหมาะที่ฉันจะสังคายนาเอกสารที่กองพะเนินให้เป็นระเบียบเสียที หนังสือก็อีกตั้งใหญ่ สรุปว่าฉันไปบิ๊กซีหน้าบ้านตั้งใจจะไปหาหลอดไฟ สุดท้ายแล้วได้ของเต็มรถเข็น ทั้งของส่วนตัว อาหารการกินและอุปกรณ์สำนักงานเพื่อจัดเอกสารให้เป็นหมวดหมู่เสียที ถูกใจได้แฟ้มสีม่วง สีของสำนัก :)

เนื่องด้วยเมื่อเช้า ฉันทำท่ายงโย่ยงหยกตอนเปิดคอมฯ จอก็ล้มลงมาดังที่เพื่อนฉันเตือนไว้เมื่อคืน ระหว่างชอปปิ้งวันนี้ ฉันเลยนึกไปนึกมาว่าจะทำยังไงดี ฉันก็มีโต๊ะคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว แต่มันอยู่ในห้องนอน ถ้าฉันเอาคอมฯเครื่องใหม่ไปไว้ที่ห้องนอน ฉันคงอยู่ห้องนอนเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างที่ว่าแล้ว ฉันก็ต้องยกโต๊ะคอมฯออกมา และก็คิดจัดห้องใหม่ เพื่อความลงตัวของเฟอร์นิเจอร์ที่เพิ่มมาอีกชิ้น

ไม่น่าเชื่อว่ามันเป็นความลงตัวแบบที่ฉันไม่ได้คิดมาก่อน ชั้นไม้ติดกำแพงสองแผ่นติดเข้ามุมเหลื่อมกันซักสิบห้าเซนติเมตรที่ฉันเคยวางทั้งคอมพิวเตอร์ แฟกซ์ พริ้นเตอร์สำหรับการทำงาน (ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวางไปได้ยังไง) รับกันพอดีกับโต๊ะคอมพิวเตอร์ที่ยกมาจากห้องนอน แถมวางซ้อนเหลื่อมกันเป็นลำดับชั้น พร้อมกับตู้ข้างหมุนได้ที่ติดมากับโต๊ะ ทำให้โต๊ะทำงานเข้ามุมของฉันมีสี่ระดับ นี่ไม่รวมที่วางคีย์บอร์ดที่เลื่อนออกมาได้นะ ด้วยพื้นที่วางของมากขึ้น นอกจากฉันจะวางอุปกรณ์ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด ฉันยังเอาพริ้นเตอร์อิงค์เจ็ทมาวางด้วย หนังสืออ้างอิงและแฟ้มทั้งหลายใส่ตู้ข้างได้พอดิบพอดี ที่ฉันถูกใจเหลือเกินกลับเป็นซองพลาสติดใส่แฟ้มกันเป็นรอย พอเอาแฟ้มออกฉันก็เอาบริเวณแถบที่เป็นกาวติดกับด้านหลังของพริ้นเตอร์ ใช้คลุมกันฝุ่นดีไป อีกซองก็ติดกับตู้ที่เป็นช่องแต่ไม่มีฝาปิดซึ่งก็ใช้กันฝุ่นให้หนังสือที่อยู่ในช่องนั้นเช่นกัน

ฉันจัดโซฟาให้ทำมุมเอียงเป็นเก้าอี้ให้โต๊ะคอมฯที่ฉันกำลังพิมพ์อยู่นี้ นั่งที่จุดเดียวกันนี้ ถ้าฉันหันไปทางซ้ายก็จะตรงกับทีวีพอดี ถ้าฉันจะกินข้าวเลื่อนไปนั่งตรงกลางโซฟาทานเข้าไปดูสวนสีเขียวลอยฟ้าไปพร้อมๆ กัน สรุปว่าฉันพอใจกับการจัดห้องใหม่นี้จัง ได้ประโยชน์ในการทำงานและใช้ชีวิต และได้ความรู้สึกสดชื่นเมื่อมองสวนที่ดูแลด้วยตัวเองด้วย

หลอดตะเกียบประหยังไฟทำให้ห้องสว่างขึ้นแต่ไม่เข้ากับหลอดไฟเดิมที่เป็นสีเหลืองนวล แต่ความสว่างของหลอดตะเกียบที่อยู่ข้างๆ ก็ทำให้ไฟเหลืองนวลตรงศีรษะฉันพอดีสว่างขึ้นแต่ไม่แสบตา แล้วฉันก็มีอารมณ์จัดเอกสาร จัดระบบระเบียบให้ทั้งงานและชีวิต...อีกครั้ง

ชีวิตสีขาวไฮกลอส


ขโมยขึ้นบ้าน.....

ไม่ใช่คอนโดฉันหรอก บ้านสวนริมคลองของแม่ต่างหาก แต่แม่ก็เล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า "แต่มันไม่ได้เข้าตัวบ้านหรอกนะ มันมาตัดสายไฟที่ต่อมาจากด้านริมคลอง" ฉันก็ให้สงสัยว่า ขโมยอะไรไม่มาขโมยของในบ้าน พอแม่เฉลยก็หวนระลึกถึงครั้งหนึ่งที่เคยอยู่ใกล้คนในแวดวงนี้ เมื่อก่อนฉันเห็นคนนั่งปอกสายไฟ เพื่อจะเอาทองแดงข้างในไปขายทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมูลค่าของสายทองแดงพร้อมเปลือกมันมากกว่านั้นเยอะ แต่คงขายยากและถ้าเอาไปขาย คนก็คงคิดว่าขโมยมา แต่ที่ขโมยมันมาตัดสายไฟบ้านแม่ฉันก็เพื่อเอาไปขายแบบลดมูลค่าสายไฟนั่นแหละ

คราวนี้ผู้รับเหมาแนะนำแม่แบบฉลาดให้เหมาะกับโจรละแวกนั้น ที่บ้านจะเปลี่ยนเป็นสายไฟที่ทำจากอลูมิเนียม คุณภาพด้อยและอายุการใช้งานต่ำกว่าแบบที่ไส้ในเป็นทองแดง แต่คงไม่โดนขโมย นอกจากนี้ยังจะประชดด้วยการเขียนป้ายติดไว้ว่าเป็นสายไฟจากอลูมิเนียมนะ จะได้ไม่ตัดแล้วมาพบว่าไม่ใช่ทองแดงด้วยความขุ่นเคือง

ให้มันได้อย่างงี้ซิ!!

แม่ทำท่างอนน้องชายฉันไปอย่างงั้นเอง ที่น้องชายดูจะเอาใจใส่เมียมากกว่าแม่ แต่นี่น้องชายฉันไม่อยู่ก่อนไปแม่ก็ทำอาหารให้น้องชายเอาไปให้น้องสะใภ้ บางทีฉันก็เริ่มเห็นด้วยกับพี่อีกคนที่มักจะตั้งป้อมรังเกียจคนทั่วๆ ไปเอาไว้ก่อน เพราะความรู้สึกที่มีให้มันมีแต่จะดีขึ้นถ้าคนๆ นั้นดีจริงๆ แต่ถ้าคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่ดี มันก็ถูกแล้วที่เราจะป้องกันตัวเอง สงสัยฉันคงต้องปรับตัวเองไปใช้วิธีนี้บ้างแล้วหล่ะ การมองโลกในแง่ดีเกินไปมันทำให้โลกสีขาวที่ฉันวาดเอาไว้มีแต่จะคล้ำขึ้นทุกทีๆ...

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสองวันนี้มันว่างเกินเหตุ หรือพอฉันเริ่มผ่อนตัวเอง ไม่หมกมุ่นกับงานให้มากเกินไป ฉันก็ได้ทบทวนหลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ซึ่งฉันถือว่าช่วงเวลาอีก 9 วันต่อจากนี้ จะเป็นบทเริ่มของชีวิตใหม่ของฉัน อดีตเจ้าอาวาสที่ดูดวงชะตาให้ฉันบอกว่า อะไรในชีวิตของฉันจะดีขึ้นนับจากอายุครบสามรอบเป็นต้นไป ฉันรอคอยและหวังว่าจะถึงช่วงเวลานั้นเร็วๆ คนที่เข้าใจฉันผิดจะหันมาดีกับฉัน อยู่ที่ฉันนี่แหละว่าจะให้อภัยคนเหล่านั้นได้หรือไม่ เมื่อใครเข้าใจเราผิด เราควรจะปกป้องสิทธิของตัวเอง แต่ฉันคิดไม่เหมือนคนอื่น ฉันไม่อยากให้เขาอายที่เขาคิดผิด ฉันเลยปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ฉันเริ่มปกป้องสิทธิของตัวเองได้บ้างแล้ว ฉันเริ่มพูดว่า "ฉันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดนะ" ก็ยังไม่วาย เอาการกระทำบางอย่างของฉันมาเป็นข้ออ้าง ก็ท่าทางฉันมันเหมือนผู้หญิงเฟลิตอยู่แล้ว น้องคนหนึ่งก็บอก ท่าฉันก็เป็นอย่างนั้นเอง จริงๆ ไม่ได้มีอะไรเล้ย แล้วฉันก็ไม่ได้มีอะไรจริงๆ แต่ไม่มีใครเชื่อ ฉันก็จนปัญญา

แล้วมันก็ทำให้ฉันนึกถึงเพื่อนคนหนึ่งซึ่งสามีของเธอเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่มีใครเชื่อว่าจะเปลี่ยนแปลง เพื่อนฉันบอกว่า อยู่ที่จะเลือกเชื่อว่าอะไร คุณเป็น... (ชื่อหมา) ถ้าไม่ได้เป็นหมาของเธอที่นอนอยู่ใต้เตียงก็ไม่รู้ เพราะในห้อนนอนของเธอมีอยู่แค่สามชีวิตเท่านั้น น่าเสียดาย ตอนนี้แม้แต่หมาตัวนั้นก็ตายไปแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่มีใครรู้

เรื่องของฉันก็เหมือนกัน ฉันอยู่ในคอนโดไม่ได้แปลว่าจะพาใครต่อใครเข้ามาในห้อง เหมือนผู้หญิงไม่เห็นค่าของตัวเอง แต่ก็ไม่วาย โดน พี่ฉันที่อยู่คอนโดมาก่อน บอกว่าไม่ต้องแคร์อะไรทั้งสิ้น พี่เองก็โดนนินทาว่ามีชู้ กว่าจะพิสูจน์ตัวเองได้ก็เป็นสิบๆ ปี ไม่มีอะไรพิสูจน์ว่าสิ่งใดเป็นจริงหรือภาพลวงได้เท่ากับเวลา แต่ฉันก็ว่าบางคนก็ซวยขนาดที่ตายไปแล้ว คนก็ยังไม่ยอมเชื่ออยู่ดี ถ้าเป็นอย่างนั้นก็อย่าไปแคร์คนที่มองเราในแง่ร้ายขนาดนั้นเถอะ มันไม่ได้มีประโยชน์อันใดที่จะพิสูจน์ความจริงให้ลาตัวหนึ่งยอมรับ

เมื่อวานฉันซื้อของขวัญวันเกิดให้ตัวเองเรียบร้อยเสร็จสรรพ น่าจะเป็นของขวัญที่แพงที่สุดในชีวิตด้วยซ้ำไป ของขวัญชิ้นแพงที่สุดฉันซื้อให้สามีเก่า ซื้อให้เพราะเขาเป็นคนมีค่าสำหรับฉัน ฉันซื้อกระเป๋าสตางค์ใส่รูปตอนฉันในวันแต่งงานกำลังนั่งพนมมือให้ผู้ใหญ่หลั่งน้ำพระพุทธมนต์ ใครๆ ว่าฉันทำเหมือนเป็นยันต์กันผู้หญิงคนอื่น ทุกครั้งที่สามีเก่าฉันเปิดกระเป๋าตังค์ใครๆ ก็จะเห็นรูปฉัน แล้วฉันก็ซื้อเข็มขัดเส้นแพงลิบลับ ตอนที่มอบให้ก็บอกว่า ทุกครั้งที่ถอดเข็มขัดจะได้นึกถึงคนให้ คงพอจะทำให้เขาระลึกได้บ้างมั้งว่าก่อนที่เขาจะปล่อยให้น้องชายซุกซน

กลับมาพูดเรื่องของขวัญที่ฉันซื้อให้ตัวเองดีกว่า ฉันซื้อตู้เตี้ยสำหรับเก็บหนังสือและเก็บเสื้อผ้า ตู้แขวนผนังอีกสองใบ และตู้ล้อเลื่อนทั้งหมดเป็นสีโอ๊คเข้ม ประตูตู้และลิ้นชักเป็นสีขาวไฮกลอส เพื่อความสว่างของห้อง แต่เป็นขาวที่ไม่เลอะง่าย สวยและได้ประโยชน์ใช้งานสูงสุด ทำยังไงนะ ฉันถึงจะเป็นคนที่เคลือบสีขาวไฮกลอสได้...

ที่ว่าเป็นของขวัญ เพราะของจะมาส่งที่คอนโดฉันในวันเกิดพอดี ฉันเป็นคนของเยอะ ต้องมีลิ้นชักและตู้ที่จุของได้มากๆ ยากนะที่จะตัดใจทิ้งอะไรไปซักอย่าง แต่ทำยังไงล่ะ ที่มันจะไม่รกรุงรัง ฉันก็อยากใช้วิธีนี้จัดการกับชีวิตของฉันเหมือนกัน ชีวิตที่มีอะไรมากมาย...แต่ไม่รกรุงรัง

Handy Woman

ฉันภูมิใจกับตู้ใหม่จัง...

ยัง ยัง ของยังไม่มาสุ่ง ตู้ใหม่นี่ใหม่จริงๆ ใหม่วันนี้ ซื้อวันนี้ ประกอบวันนี้ โดยคนๆ เดียวกัน

ใครล่ะ

ก็ฉันนะสิ!!

ฉันเคยซื้อแต่กล่องสำเร็จรูปมาต่อกันเป็นตู้ แล้วก็เคยพ่นสีชั้นวางรองเท้า หรืออาจจะเอาน๊อตใส่ชั้นสแตนเลสวางของกระจุกกระจิก แต่ไม่เคย ไม่เคยต่อตู้ที่มีลิ้นชักด้วยตัวเอง

ตู้ใบนี้ถูกใจจริงๆ ตั้งแต่แรกเห็น เป็นตู้ใบเดียวที่เป็นสีโอ๊คเข้มและมีบานประตูและลิ้นชักขาว ตู้ใบอื่นๆ เป็นสีไม้เนื้ออ่อนทั้งหมด แล้วก็ตู้ที่ว่ามีแค่สองตู้ ตู้ที่ประกอบแล้วกับยังไม่ได้ประกอบ ฉันก็ได้ตู้นั้นมาในราคา 1,590 บาท ทั้งถูกใจและถูกเงิน

แต่ไม่ว่าอะไรก็ไม่สร้างความสุขให้กับฉันเท่ากับเวลาตั้งแต่ห้าโมงเย็นถึงสามทุ่มที่ทุ่มเทต่อตู้ที่ว่า จนอยากจะเบี้ยวนัดไปคาราโอเกะกับพี่คนสวยใจดี

คือว่า...

ของที่ราคาประหยัด ก็อาจมีเจาะรูขาด เจาะไม่ตรงบ้าง อันนี้พอทำใจได้ โชคดีที่ฉันซื้อสกรูไฟฟ้าแบบใส่ถ่านเอาไว้ติดโน่นติดนี่เล็กๆ น้อยๆ ก็เลยได้เจาะได้ทุบกันพอเหงื่อท่วมตัว

เริ่มต้นจากฐานที่เป็นกรอบสี่เหลี่ยมและมีไม้อีกแผ่นยึดตรงกลาง พอประกอบเสร็จแล้วก็หน้าตาเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมสองอันติดกัน ดูมันง่ายๆ และตู้น๊อคดาวน์ก็น่าจะใส่ๆ หมุนๆ แค่ต้องออกแรงหน่อย แต่หาใช่ไม่ อันนี้ดิฉันเช็คแล้วเช็คอีก รูมันถูกเจาะผิดที่อะ ทำไงล่ะทีนี้ เอาวะ ค่อยๆ เจาะไป เอาอันใหญ่เจาะ เจาะไม่เข้า สลับเป็นอันเล็ก เออ ดูเข้าท่าหน่อย แล้วฉันก็เจาะแบบคว้านๆ หมุนไปรอบๆ ให้รูมันใหญ่ขึ้น จากนั้นก็ตามด้วยสกรูอันใหญ่ เจาะเป่า เจาะเป่า อยู่สามสี่ครั้ง เศษขี้เลื่อยที่หลุดออกมาก็ทำห้องเลอะอีกตามเคย แต่ฉันก็ประกอบฐานเสร็จในที่สุด

คราวนี้ก็ต้องยึดกับพื้นตู้ คือประมาณว่าเขาให้ต่อจากก้นแล้วก็เอาก้นที่ยึดกับพื้นตู้มาต่อกับตู้ที่คว่ำหน้าอยู่อีกทีหนึ่ง ขัดน๊อตเสร็จเรียบร้อย มาดูขั้นต่อไป อ้าว ฉันลืมเอาผนังตู้ปิด กลายเป็นตู้กลวงโบ๋ ทำไงล่ะ คลายสกรู เอาพื้นตู้ออก เสียบผนังตู้ไปในร่องที่เซาะไว้แล้ว จากนั้นก็ปิดกลับเหมือนเดิม คราวนี้ประกอบลิ้นชัก ง่ายแล้ว มันก็เหมือนๆ กับตู้นั่นแหละแต่เล็กกว่า เริ่มคล่อง แล้วลิ้นชักสองอันก็เสร็จเรียบร้อย

ตอนนี้ต้องใช้แรง พลิกตู้กลับให้ก้นอยู่ติดพื้น เอาลิ้นชักที่ติดรางล้อสอดเข้าไปในช่องล้อเลื่อนตามคู่ของมัน เสร็จไปครึ่งตู้ อีกฝั่งเป็นตู้บานเปิด ข้างในมีไม้ขั้นเป็นสองชั้น น่าจะไม่มีปัญหาอะไร ฉันก็เสียบหมุดสี่จุดก่อนที่จะสอดแผ่นไม้เข้าไป อ้าว เข้าไปได้อะ ด้านหน้าตู้ตรงกลางมีไม้ยื่นมาทำให้สอดไม้ที่แบ่งชั้นเข้าไปไม่ได้ ทำไงละทีนี้ ถอดสกรูออก มันต้องเอาออกทั้งฝาบนเลยอะ ก็โอเค ยังไงก็ต้องทำ สอดไม้ไปแล้วก็ปิดฝาบนอีกครั้ง คราวนี้จุดสุดท้าย ประตูตู้ มีจุดยึดสองจุด เห็นมีปั้มเป็นรูกลมๆ อยู่สองรู พอดีกับบานพับตู้เลย ใส่ลงไปพอดี แต่มันต้องขันน๊อตด้วยน่ะ คราวนี้ ไม่มีจุดอะไรให้เลย ฉันต้องเจาะบนไม้เนื้อแข็งเอาวะ ทำแบบเดิม นิ้วเจ็บแล้วนะเนี่ย ฆ้อนก็ทุบไปหลายจุดให้ตัวยึดมันตอกลงไปในเนื้อไม้ให้มิด

โชคดีที่ไม่ได้แข็งอย่างที่คิด และก็นับเป็นบุญของฉันอย่างยิ่งที่ซื้อสกรูไฟฟ้านี้มา ไม่แค่นั้น ด้วยความที่ชอบสำรองอะไรเอาไว้ไม่ให้ขาด ฉันก็มีถ่าน AA 4 ก้อนสำหรับเปลี่ยนถ่านเก่าที่ใกล้จะหมดแล้ว บานพับที่ต้องเจาะรูและไขให้แน่น ไม่เช่นนั้น ฝาตู้จะเบี้ยวลง ฉันก็ขันแล้วขันอีกทั้งที่ตัวตู้และที่ฝา เล่นซะสกรูไฟฟ้าไขไม่ไป ต้องใช้แรงหญิงเหล็กคนนี้เนี่ยแหละ

ตู้สำเร็จเสร็จสิ้นสมใจ

ระหว่างนั้นมีคนโทรหาสองราย นิสัยชั่วร้าย กะจะเบี้ยวเต็มที่ พอถามว่าสามทุ่มแล้วอยู่ที่ไหน ยังจะไปรึเปล่า ได้คำตอบว่า ไปแหะ โอ ด้วยความขี้เกียจสุดฤทธิ์ แต่ไปทั้งๆ อย่างงี้ไม่ได้แน่ ขี้เลื่อยเปื้อนเต็ม แถมหน้ายังกะทาน้ำมันมา

โอเค เจอกันสี่ทุ่ม ขออาบน้ำ ทำความสะอาดห้องและจัดตู้เข้าที่ก่อน

แล้วฉันก็เนรมิตตัวเอง (เหมือนๆ กับที่จัดการกับแผ่นไม้จนประกอบเป็นตู้นั่นแหละ ไม่มีใครทำให้ก็ต้องทำเองเนอะ เอ พูดเหมือนน้อยใจนา) วันนี้วันอาทิตย์ต้องชุดแดงสายเดี่ยวประดับด้วยลูกไม้เป็นเส้นสีดำเป็นแผงยาวรอบตัวตั้งแต่อกเสื้อถึงช่วงสะโพกลดหลั่นกันไปตามดีไซน์

แต่งหน้า ต้องให้ดูสว่างหน่อย ทาครีมบำรุงรอบดวงตาแล้วตามด้วย concealer ใต้ตา แล้วก็ใช้แปรงปัดแป้งสีอ่อนที่ใต้ตาก่อนจะใช้แป้งสีเนื้อธรรมชาติปัดทั่วใบหน้าและลำคอ แปรงคิ้วให้เข้ารูป เขียนหางคิ้วซะหน่อยด้วยพู่กันแบบบางจุ่มน้ำแล้วมาแตะ eye shadow สีน้ำตาลเข้ม แล้วก็วาดจากกลางคิ้วไปสร้างปลายคิ้วแหลมโค้งอย่างที่ฉันเห็นว่าสวย เอาแปรงเกลี่ยๆ หัวคิ้วอีกนิดให้กลมกลืนกัน จากนั้นก็ทาไฮไลท์ที่โหนกคิ้วและหัวตาก่อนจะลง eye shadow กันน้ำทั่วเปลือกตา ตามด้วยสีเข้มที่หางตาวาดขึ้นตามรอยพับไปเจอส่วนกลางคิ้วแบ่งสีไฮไลท์กับสีน้ำตาลอ่อนที่ทาไว้แล้ว เกลี่ยให้สีกลืนกัน จากนั้นก็เอาพู่กันจุ่ม eye liner แบบครีม วาดที่ขอบตาบนเป็นเส้นจากปลายตาเรียวเล็กลงมาเกือบไม่เห็นที่หัวตา ถึงคราวดัดขนตาแล้ว ดัดในสุดใกล้เปลือกตา แล้วค่อยๆ ดัดขยับ ดัดขยับ ทำให้ได้ขนตาที่งอน ไม่ใช่หักขึ้นเป็นนางกวักยกมือ ตบท้ายปัดขนตาสีน้ำตาลเข้ม จบแล้วสำหรับตา

เอาที่ปัดแก้มมาหมุนๆ บริเวณข้างจมูกวนขึ้นไปถึงโหนกแก้มแล้วปัดหมุนลงมาด้านข้างทำเงาให้หน้ายาวขึ้น สุดท้ายทาปากสีแดงแจ๊ดเข้ากับชุด ตุ้มหูทองยาวนิ้วนิดๆ ผมบ๊อบแสกกลางพรางหน้ากลมของฉัน

การแต่งหน้าก็คือการทำให้จุดเด่น เด่นขึ้นไปอีก แล้วก็ไม่เน้นจุดด้อย เมื่อจุดเด่น เด่นออกมาอย่างชัดเจน มันก็เหมือนเป็นภาพลวงตาที่ทำให้คนไม่เห็นจุดอื่นๆ

รองเท้าก็แดงนะเธอ มีดอกไม้เล็กๆ สีเหลืองแดงน่ารักเชียว กระเป๋าถือใบจิ๋วสีดำแต่จุชะมัด ฉีดน้ำหอมจากขวดรูปแอปเปิ้ลสีแดง สามสี่ที พร้อมตะลุยราตรีอินเรดแล้วเรา

วันนี้ร้องเพลงมันทุกแนว เริ่มจาก ฝันไปรึเปล่า คูณสามซูเปอร์แก๊งค์ ต่อด้วย เราคงต้องเป็นแฟนกัน และเหงา...เข้าใจ จบยุครื่นเริงไปแจม ขอจันทร์ แล้วก็ร้องเพลงคู่ ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ ก่อนที่ระบายอารมณ์เก็บกดด้วยเพลงของป้ากมลา Live & Learn พี่ปุ๊ หนึ่งเดียวคนนี้ กลกามแห่งความรัก

เผามันเข้าไป ....จะชั่วจะดี จะชี้ยังไง ขึ้นอยู่กับใจ ใครคิดไปเอง ฉันเป็นฉันเลือก เลือกทางฉันเอง ชีวิตเหมือนเพลงบรรเลงผิดคีย์ จะจบด้วย เพลงสุดท้ายของป้าสุดา ชื่นบานซะหน่อย แต่วันนี้ร้องมากไปแล้ว ต้องสละให้โต๊ะอื่นบ้าง เพราะหัวปิงปองมาเยือนแล้ว

เฮ้อ!

โล่ง ได้แหกปาก เจอหน้าผู้คน ตะโกนร้อง โยกตัวไปมา แล้วฉันก็ขับรถกลับคอนโดอย่างสบายใจ

กลับมาชื่นชมตู้และเก็บผ้าที่ซักไว้ จากนั้นก็มาจุ้มปุกเขียนบล๊อกนี่แหละ

ชอบตัวเองจัง ชอบที่ต่อตู้เอง ซักผ้ารีดผ้า แล้วก็ไปเฉิดฉายร้องเพลง

คนก็เห็นฉันแต่ตอนแต่งตัวเดินกรีดกรายละน้า ก่อนกลับพี่คนสวยใจดีเอานามบัตรที่คนทำฝากไว้ให้ เดินกลับไปที่ร้านอีกครั้ง แจกนามบัตรน้องๆ และคนทำท่าอยากได้อีกหนึ่งคน แล้วฉันก็เดินกระหยิ่มยิ้มย่องไปที่รถ ขับรถอมยิ้มจนถึงคอนโด

อ่านตำแหน่งแล้วก็ขำ อะไรๆ ที่มันขึ้นต้นด้วย จีๆ เอ็มๆ ก็ไอ้ทำตั้งแต่ขนของยันเจรจากับหัวทองนั่นแหละ

เพื่อนหัวทองฉันรำพึงคำว่า...(ชื่อเรื่อง) ตอนที่ฉันเล่าเรื่องตู้ให้ฟังนั่นแหละ

ยัยบ้าข้อมูล

เอาอีกแล้ว โรคเก่ากำเริบ

เกิดความมันส์ในอารมณ์ "อยู่เพื่อหาข้อมูล" ไม่ใช่ "หาข้อมูลเพื่ออยู่" (ฉันพยายามจะเปรียบเทียบกับ "อยู่เพื่อเขียน" กับ "เขียนเพื่ออยู่" อะนะ)

แต่คนเราต้องรู้จักพอ ไม่ใช่หาจนสว่างคาตา ว่าแล้วก็ควรจะพักผ่อนนอนหลับอย่างมีความสุข

All I Have To Do Is Dream - The Everly Brothers

สวรรค์บนดิน

ตอนนี้ฉันกำลังฟัง Don't cry for me Argentina ซึ่งเป็นเพลงหนึ่งในชุด Andrew Lloyd Webber Love Songs ที่ฉันซื้อตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้ว เพราะมีเพลง All I ask of you สุดโปรดของฉันนั่นแหละ

พัดลมเป่าเบาๆ กำลังสบายเหมือนมีลมธรรมชาติโชยมาลูบไล้ผิวฉันอย่างทะนุถนอม ข้างหลังเป็นต้นจั๋ง มีทั้งที่แผ่ใบสวยงาม และต้นที่เพิ่งโผล่พ้นดินผ่านหินกลมเกลี้ยงสีขาวที่วางปะปนกับเปลือกไข่ไก่ มีผู้รู้บอกฉันว่า เราตำเปลือกไข่แล้วโรยไปที่ใด มดจะหนี ฉันตำด้วยครกโปรยไปบ้างแล้ว แต่เห็นว่าสวยดีเลยเอาเปลือกที่เหลือจากทำไข่ลวกมาประดับ เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร ทอดสายตายาวออกไปอีกนิด ผ่านชายม่านที่รัดด้วยเชือกพู่สีเขียวขี้ม้าไปกันได้ดีกับม่านสีน้ำตาลอ่อนแก่สลับกันไป เห็นต้นไม้ที่บรรจงปลูกกับมือ ชวนชมออกดอกอีกครั้ง ใบพลูด่างงอกงาม กล้วยไม้แตกแขนงรากงอกเลื้อยไปมาปลายเป็นสีเขียวดูคล้ายหัวงูแต่ตัวขาวซีด ไม้เลื้อยก็เลื้อยไปจนถึงเพดานแล้ว ฉันกะว่าจะเลี้ยงจนปกคลุมคล้ายม่านเขียวอ่อนกั้นระหว่างห้องกับวิวรถไฟฟ้าที่เห็นอยู่ไกลๆ

ฉันไม่อยากไปไหนเลย วันนี้รีบไปโอนเงินแล้วก็กลับมานั่งจุ้มปุกอยู่ที่เดิม นั่งบนเบาะที่เอาคูปองของโฮมโปรไปแลกมา ขนนุ่มน่านั่งเหมาะกับคนที่ใช้เวลาหน้าคอมฯทั้งวัน โซฟาเข้ามุมตัวเดียวกับที่ใช้นั่งเล่นดูทีวี เบี่ยงมุมออกมานิดนึงก็ใช้เป็นเก้าอี้นั่งทำงานได้พอดี หมอนอิงหนุนหลังสองใบ สบาย ไม่ปวดเมื่อย

ช่วงนี้อยู่ในอารมณ์จัดห้อง จัดระเบียบเอกสาร จัดหมวดหมู่ข้อมูล ห้องเรียบร้อย เอกสารไม่กระจัดกระจายเจาะห่วงเข้าแฟ้ม อะไรทิ้งได้ทิ้ง อะไรต้องเก็บไว้เป็นหลักฐาน สแกนมันหมด เป็นระเบียบอย่างที่ฉันนึกตกใจตัวเอง ฉันเป็นคนเรียบร้อยขนาดนั้นเลยหรือ อาจเป็นเพราะฉันได้รู้จักคนๆ หนึ่ง ที่จัดทุกสิ่งที่เดินผ่าน เป็นมากกว่านิสัย เพราะได้รับการปลูกฝังจากแม่นมตั้งแต่เด็กๆ ตั้งแต่ฉันรู้จักคนๆ นี้ เมื่อใดที่บ้านฉันรก ฉันก็จะนึกถึงความเป็นระเบียบเรียบแปล้ของเขา ถ้าฉันไม่อยากคิดถึงเขาก็คงต้องทำตัวเองให้เป็นระเบียบกระมัง (ยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก) หรือมันจะยิ่งทำให้คิดถึงมากขึ้นไปอีก เพราะใครบางคนทำให้เราเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น

มีคนเคยบอกว่าฉันเป็น 'ผ้ายับที่พับไว้' มันอาจจะเป็นผ้าที่เรียบขึ้นอีกนิดหรือเป็นเส้นใยประเภทที่ยับยากหน่อยละมัง

แต่ที่แน่ๆ สวรรค์ของฉันก็อยู่ที่นี่แหละ ที่ๆ ฉันอยู่ แม้มันจะไม่ใช่สวรรค์บนดิน....


(เพราะมันอยู่ชั้น 6 555)

รูป



วันนี้ฉันได้ลองใช้ฟังก์ชั่นใน ACDSee 9 Photo Manager โดยคลิกที่ Modify แล้วเลือก Effect จากนั้นก็เลื่อนไปที่ Artistic สุดท้ายที่ Contour มันไม่ใช่โปรแกรมอะไรที่ใหม่ล่าสุดหรอกแต่ฉันไม่เคยใช้มันเลย ชอบใจมากที่รูปของฉันออกมาแบบนี้ เป็นรูปตอนที่ฉันไปคาราโอเกะกับเพื่อนใหม่ชาวอินเดีย เธอเพิ่งหาวิธีส่งรูปมาให้ฉันได้ ทั้งๆ ที่ฉันก็ไม่เข้าใจว่า "มันยากยังไงละนั่น"

น้ำซึมปูน

เคยได้ยินแต่น้ำซึมบ่อทรายละซิ

ฉันว่าไม่มีชื่อไหนเหมาะเท่าชื่อนี้อีกแล้วละนะ

เมื่อวานหลังจากอัพบล๊อกและทำการงานต่างๆ ฟ้าเริ่มสาง ฉันก็จะเข้านอน เดินไปเข้าห้องน้ำกำลังจะเปิดไฟ ฉันเหยียบพรมหน้าห้องน้ำที่ชื้นแฉะแบบที่ไม่ควรจะเป็น พร้อมกับคิดในใจ "ทำไมมันแฉะ" มองที่สวิตช์ไฟเห็นน้ำไหลลงมาเป็นสายบางๆ สองมุมล่าง เบือนหน้าไปทางซ้ายมองพื้นห้องน้ำ น้ำนองเต็มพื้น พรมในห้องน้ำแฉะไปเกือบครึ่งผืน น้ำยังไหลเข้าไปที่ห้องนอนด้วย

ไม่ตกใจไม่ได้แล้ว ไฟก็ไม่กล้าเปิด มีอย่างที่ไหน น้ำไหลมาจากสวิตช์ไฟ ดีเท่าไหร่แล้วไม่ได้เป็นปลั๊กไฟ รีบโทรแจ้ง รปภ. ข้างล่างให้ช่างขึ้นมาดูด่วน น้ำไหลออกมาจากปลั๊กไฟ!!

ช่างคนเดิม คนที่เคยซ่อมหลอดไฟห้องน้ำที่เคยระเบิดไปหนนึง คราวนั้นเป็นความผิดฉันเองที่ซื้อหลอดไฟราคาประหยัด (ไปหน่อย) แล้วก็อีกคราวที่ท่อน้ำตันแล้วน้ำท่วมระเบียงเพราะผู้รับเหมาเลินเล่อปล่อยให้คนงานทิ้งปูนและท่อนไม้ลงไปในท่อ ถึงกับต้องตัดท่อเอาท่อนไม้ออก จากนั้นก็มีปัญหาตันเป็นครั้งคราว ด้วยท่อน้ำทิ้งตรงห้องฉันไม่มีความลาดมากพอ ทำให้เศษผงอุดและตันได้ง่าย ไม่รู้ล่ะ ถ้าเป็นอีก คราวนี้ฉันจะสมัครเป็นผู้จัดการนิติบุคคลอีกครั้ง ช่างคนเดิมที่ว่ายังรู้เลยว่าถ้าฉันเป็นผู้จัดการนิติบุคคลรับรองเจ้าของร่วมพอใจแน่ๆ เพราะฉันไม่ไว้หน้าใครหรอกนะ งานเป็นงาน เงินเป็นเงิน เสียค่าส่วนกลาง (แพง) แล้วจะให้ยอมรับบริการต่ำกว่ามาตรฐานทำไม่ได้จริงๆ

กลับเข้ามาเรื่องห้องน้ำฉันดีกว่า พอช่างเดินเข้ามาฉันถึงรู้ว่าน้ำนองเต็มทางเดินก่อนจะเข้าห้องฉันด้วยนะ คราวนี้ ช่างตกใจฮ่ะ บอกว่าเดี๋ยวลงไปเอาบันไดปีนไปช่องเซอร์วิสก่อน ฉันก็ได้แต่เช็ดพึ้นห้องนอนรอ เพราะก่อนออกไปเอาบันได ช่างบอกว่าพื้นบวมแน่ ฉันก็ถามกลับไปทันควันว่า "ใครจะรับผิดชอบเนี่ย" พอได้รับคำตอบว่าเป็นเจ้าของโครงการก็โล่งใจ

ปีนช่องเซอร์วิสแล้ว ก็ไม่พบจุดที่น้ำรั่ว คราวนี้เพิ่งสังเกตว่าน้ำไหลเป็นน้ำตกบางๆ สองผนังของห้องน้ำ ด้านที่เป็นที่ตั้งของโถส้วมกับด้านที่ต่อกันยาวจนถึงสวิตช์ไฟข้างประตูนั่นแหละ เข้าใจคำว่าน้ำตกไหลมาจากผนังมั้ยคะ ผนังห้องน้ำของฉันก็เหมือนห้องน้ำทั่วๆ ไป ที่ติดกระเบื้องแต่ออกจะแผ่นใหญ่สักหน่อย น้ำมันซึมมาตามรอยยาแนวกระเบื้องนั่นแหละ ถามช่างอีก (ใครๆ ก็รู้ว่าฉันเป็นยัยช่างถาม) ว่าน้ำมันซึมมาได้ยังไง ได้ความว่าเวลาโบกปูนมันก็มีช่องมีรู น้ำมันก็ซึมมาตามปูนจนไหลมาถึงสวิตช์ไฟนั่นแหละ ทีนี้ต้องหาว่าจุดที่รั่วหรือท่อแตกมันฝังอยู่ที่ผนังช่วงไหน ช่างดูท่าทางชำนาญการบอกฉันว่าเป็นกระเบื้องบริเวณเหนือศีรษะตรงข้างๆ ชักโครก ฉันนึกไม่ออกเลยว่า อะไรทำให้ท่อตรงนั้นมันแตกได้ ฉันไม่เคยทำมิดีมิร้ายกับผนังนะ

แล้วเราก็รู้ล่ะทีนี้ว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ อย่างน้อยๆ ก็ต้องทุบผนังเปลี่ยนเอาท่อที่แตกออกแล้วก็เอากระเบื้องใหม่มาปิดแทน แต่ขอโทษนะคะ ช่างแอบบอกฉันว่า กระเบื้องลายนี้ไม่มีของแล้ว ฉันก็ฉุนขึ้นมาทันที แค่ห้องน้ำแปรสภาพเป็นน้ำตกโดยไม่ได้ตั้งใจ นี่ยังจะทำให้ห้องน้ำฉันเป็นห้องน้ำกระดำกระด่างด้วยกระเบื้องต่างสีต่างผิวสัมผัสอีกหรึอนั่น ที่แน่ๆ คือฉันไม่ได้นอนแล้วเพราะต้องเฝ้าตอนเขามาทำห้อง

แต่ไม่ไหวจริงๆ ช่วงนี้ฉันเมามันส์กับการทำงาน ไม่ค่อยได้หลับได้นอนได้กินได้ไปไหนกับเขา ร่างกายอ่อนแอ ต้องไปแอบหลับเอาผ้าคลุมโปงไว้กันอุจาด แต่ฉันต้องขอชมว่าเจ้าหน้าที่ของโครงการมาดูแลปัญหาได้ทันท่วงที แม้ช่างจะเข้ามาได้ตอนเที่ยงแต่ระหว่างนั้นฉันก็นอนสบายใจในห้องหลังจากที่บอกให้แม่บ้านของแม่มาเฝ้าแทนไปก่อน ก็ได้งีบอีกราวสี่ชั่วโมง ได้พลังมาประชุมช่วงบ่ายถึงค่ำ งานการรุดหน้าเรียบร้อย

สรุปแล้ว ในความโชคร้าย ฉันก็โชคดี เพราะจุดที่รั่วคือบริเวณใกล้ๆ กับที่ฉีดน้ำล้างก้น ทำให้ไม่ต้องทุบผนังมากแค่เสียกระเบื้องแผ่นสองแผ่นแล้วก็ไม่ได้อยู่ในระดับสายตา ก็เป็นอันใช้ได้ ถ้ามันน่าเกลียดนัก ฉันก็เอาต้นไม้มาวางปิดไว้แล้วก็ใช้ชีวิตตามปกติ มันคงไม่รกหูรกตาฉันแล้ว ถามไปถามมา จุดที่รั่วน่ะไม่ใช่ห้องน้ำฉันหรอกนะ เป็นการเจาะเพื่อติดตัวยึดที่ฉีดน้ำล้างก้นของห้องที่อยู่ติดกัน แต่ไหงน้ำมันมาที่ห้องฉันละเนี่ย

ฉันมานั่งคิดดูแล้ว มันต้องรั่วมาเป็นปีแล้วเพราะฉันอยู่มาเกือบหนึ่งปี หย่อนไปเดือนเดียว แล้วน้ำก็ไหลออกมาตลอดซึมไปในเนื้อปูนเนื้ออิฐที่ก่อไว้ ไหลไปตามช่องโพรงอากาศที่ถูกบดบังด้วยปูนฉาบเรียบและกระเบื้องห้องน้ำ คิดดูสิว่าไหลมาเกือบหนึ่งปี จนมันอั้นเต็มพื้นที่ว่างในซีเมนต์ทั้งหมดทั้งบริเวณ จนวันนึงก็สำแดงเดชไหลเป็นน้ำตกบางๆ ในห้องน้ำฉัน แต่ไหลนองเต็มพื้นระหว่างห้องฉันกับห้องถัดไป กินบริเวณหลายเมตรทีเดียว

น้ำซึมบ่อทราย กับน้ำซึมผนังปูนนี่มันจะคล้ายกันมั้ยเธอ ถ้าเปรียบเป็นคนเขาคนนั้นก็คงจะอดทนจนถึงที่สุดแล้วล่ะ รูมันนิดเดียวเลยนะเธอ ไม้จิ้มฟันยังแยงเข้าไปไม่ได้เลยมั้งนั่น แต่ดูสิว่าผลที่เกิดเมื่ออะไรเล็กๆ ที่ก่อความรำคาญอยู่เป็นนิจ วันนึงก็ทนไม่ไหว ก็ระเบิดออกมาอย่างที่เห็น

มันทำให้ฉันย้อนนึกว่า คนรอบข้างฉันถ้ารู้สึกว่าต้องอดทน อย่าทนเลยนะ บอกกันให้รู้ เราจะได้ไม่เป็นน้ำซึมปูน อาจจะไม่สลายเหมือนปราสาททราย แต่ต้องยกเครื่องกันทีเดียวเชียว

My Sky Garden

เธอเปิดทั้งไฟล์เสียงเพลงและไฟล์ภาพนะ วันนี้ฉันเพิ่งซื้อกล้องมาเลยได้ฤกษ์ถ่ายสวนมาให้ดูจ้า



Home บ้านคอนโด

เปิดพร้อมกันอีกนะเธอ


Home - Bakery Artist

วันนี้เมื่อปีที่แล้ว

วันนี้เมื่อปีที่แล้ว ฉันนั่งอยู่ริมหาดบนเกาะเสม็ด ได้ไปเยือนรีสอร์ทที่เคยไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ทุกที่ๆ เคยไปย่อมมีความทรงจำ ความรู้สึก บางครั้งเรารู้เราเข้าใจแต่เราพูดออกมาไม่ได้ เพราะเราไม่อยากทำร้ายและทำลายความรู้สึกของคน ฉันขอแอบยิ้มนิดหน่อย ใครๆ อาจจะว่าฉันทำร้ายความรู้สึกของคนไว้มาก ฉันจะบอกได้มั้ยว่าส่วนใหญ่เป็นความเข้าใจผิด อย่าเอาวิธีที่พิจารณาตัดสินของคนทั่วไปมาตัดสินฉัน เพราะฉันไม่ได้คิดแบบนั้น ส่วนบางเรื่องที่ฉันรู้อยู่เต็มอก เข้าใจแสนจะเข้าใจ แต่ไม่อาจแสดงให้รับรู้ได้ การนิ่งเฉยดูจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

ตั้งแต่ฉันเจอเรื่องน้ำซึมปูน ฉันก็คิดว่าฉันควรจะทำให้ใครรู้ตัวซะบ้างว่าฉันจะไม่ไหวพอๆ กับที่เขาก็ไม่ไหวเหมือนกัน ต่างคนต่างก็มีเหตุผลของตน ถ้ามองซะว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาของการทำงาน (อย่าเอาเรื่องอื่นเข้าไปเกี่ยวข้องนะ)ความเห็นต่างก็จบลงตรงที่ได้ข้อสรุป ไม่ต้องรื้อฟื้นมาทีหลัง แต่คนก็ยังเป็นคน มีใครบ้างไม่มีความรู้สึก มีใครบ้างที่เจ็บแล้วจะจำไม่ได้ว่าทำอะไรแล้วเคยได้ผลลัพธ์อย่างไร

ฉันรู้แต่ฉันก็ต้องรักตัวเอง

พร้อมที่จะมองไปยังอนาคต ละทิ้งอดีตไว้เป็นเพียงความทรงจำที่ไม่ย้ำซ้ำแผลเดิมอีกต่อไป

ชีวิตสดใสได้เริ่มขึ้นแล้ว

ฉันเริ่มต้นชีวิตอายุครบ 3 รอบด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้รู้สึกเขินอายหรือต้องปกปิดเหมือนที่ผู้หญิงวัยนี้น่าจะเป็น ถ้าจะต้องปัดเป็นหลักสิบ ฉันก็จะถูกปัดไปอยู่ในกลุ่มคนอายุ 40 แล้ว สำหรับฉัน เลข 4 ยังน่ากลัวอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แต่พอถึงเวลานั้น ฉันอาจจะมีความสุขและพอใจไปกับความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งในโลกนี้

ฉันเริ่มชีวิตใหม่ด้วยการทำงาน ด้วยการเขียนแผนสำหรับการประกอบกิจกรรมหนึ่ง หากได้ทำดั่งปรารถนา มันก็คงเป็นตำนานอยู่เหมือนกัน ฉันมีความผูกพันกับสิ่งนี้มาตั้งแต่เด็กๆ อีกทั้งในตอนนี้ ก็มี 'ตัวแทน' ที่สื่อถึงเรื่องเดียวกันคอยเป็นเพื่อนและที่ปรึกษาตลอดหลายสิบเดือนที่ผ่านมา

สิ่งมีชีวิตที่เกี่ยวพันกับฉันมากที่สุดในตอนนี้ คงจะเป็นต้นไม้ เพราะเราอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน สำหรับสิ่งมีชีวิตอื่นอาจจะมีโอกาสได้แว๊บเข้ามานานๆ ครั้ง ฉันมีความสุขกับทุกๆ วันที่เลยผ่าน ดีใจที่ทางเดินชีวิตของฉันได้แวะมาทางนี้ แม้จะไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะขรุขระ หรือมีเส้นทางเดินทอดยาวไปยังดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ หรือเป็นทางขาดหากพลั้งพลาดก็ตกลงหุบเหวลึกชัน แต่ความอภิรมย์ในการใช้ชีวิต สำหรับฉันแล้ว มีค่ามากกว่าจุดหมายมากมายนัก และฉันก็ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ความหวานหอมของความสุข ความฝัน ความหวังอย่างเต็มที่ งานที่ทำไป จะประสบผลอย่างไร ฉันก็ได้ทำอย่างเต็มที่ในเวลาและทรัพยากรที่มีอยู่ ฉันคงจะยิ่งมั่นใจกว่าที่เคย เมื่อได้เดินถือผลงานชิ้นนี้ ผลงานที่เกิดจากความร่วมมือร่วมใจของคนที่รักและหลงใหลในสิ่งเดียวกัน

ตู้ห้าใบ...ขาวไฮกลอส


วันเกิดฉันปีนี้ ฉันซื้อตู้ให้ตัวเองห้าใบ ใครที่ตามอ่านบล๊อกอาจจะได้อ่านเกี่ยวกับของขวัญที่แพงที่สุดในชีวิตของฉันไปแล้ว ก่อนหน้าที่ตู้จะมาส่ง แม่กับน้องสาวขนปูนึ่งและกุ้งลวกมาเป็นอาหารเที่ยงฉลองวันเกิดกับฉัน แม่เห็นห้องฉัน (ก่อนตู้ห้าใบจะมานะ) อุทานว่า "ใช้ประโยชน์ทุกตารางนิ้วเลยนะเนี่ย" ฉันฟังแล้วให้หวนคิดถึงคำพูดของพี่ตัวสูงใจดีขึ้นมาทันควัน เพราะพี่เดินเข้ามาในห้องก็รู้ว่าเฟอร์นิเจอร์ในห้องของฉันใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ เก็บสารพัดของ ท่าทางคนคงไม่ได้มองว่าฉันเป็นคนมีเหตุผลขนาดนั้นกระมัง ทั้งๆ ที่เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นที่ฉันเลือก มีที่มาที่ไป มีคำถามให้กับทุกคำตอบว่าทำไมถึงซื้อชิ้นนี้ เอาไว้ที่ไหน เอาไว้ใส่อะไร เลือกวัสดุและผิวสัมผัสนี้เพื่อประโยชน์อันใด

ช่างที่มาประกอบตู้ให้ฉันวันนี้ยังมึนแทนเลยเธอ เฟอร์นิเจอร์เต็มบ้านจริงๆ ตู้แขวนใบแรก ฉันตั้งใจเอาไว้เก็บเอกสารที่มันหนักๆ แต่เนื่องด้วยมันไม่มีที่เก็บที่วางบนพื้นแล้ว คราวนี้ก็ต้องแขวน แล้วฉันก็ซื้อตู้แคบยาวมีบานเลื่อนปิดครึ่งเดียวสองตู้ ฉันก็มีจุดที่ตั้งใจจะติดอยู่แล้วล่ะ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจเด็ดขาด ระหว่างที่วัดไป ฉันก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเพื่อให้ได้อรรถประโยชน์สูงสุด และอยู่ใกล้มือหยิบสะดวก ในที่สุดตู้แขวนใบใหญ่ก็อยู่บนสุดเกือบถึงเพดาน ส่วนตู้แคบยาวเหมือนกล่องหรือช่องยาวเหนือโซฟา แทนที่จะติดอยู่ใต้ตู้ใหญ่พอดี ฉันก็ด้วยความงกพื้นที่ใช้สอย ก็เลยให้เว้นระยะสัก 20 เซนติเมตร แล้วฉันก็ได้ชั้นวางของเพิ่มอีกหนึ่งชั้น สำหรับตู้แขวนแคบยาวอีกใบก็เอาไปติดด้านข้างของโต๊ะกินข้าวเผื่อจะใส่ขนมนมเนย ส่วนอีกครึ่งนึงก็เป็นที่ใส่อุปกรณ์และวัสดุสำนักงาน ตู้ใบที่สี่คือตู้วางทีวีที่ฉันดัดแปลงเป็นตู้เก็บหนังสือซึ่งฉันมีมากมายจนตู้ที่มีสามสี่ตู้ก็ไม่พอ แล้วก็มาถึงตู้ใบที่ห้า เป็นตู้ล้อเลื่อนมี 3 ลิ้นชัก ล๊อกกุญแจได้ด้วย ตู้ทุกใบหน้าบานเป็นสีขาวไฮกลอส ทำให้ห้องดูกว้างและไม่สกปรกง่าย ห้องฉันเลยมีแต่เฟอร์นิเจอร์สีน้ำตาลเข้มกับสีขาวสลับกันไป ใครไม่รู้ก็คิดว่าฉันชอบสีขาว ตอนที่ฉันอยู่อพาร์ตเมนท์สมัยเรียน ฉันก็แต่งห้องเป็นสีเขียว ฉันไม่ได้ชอบสีไหนเป็นพิเศษหรอก ฉันแค่คิดว่าอะไรที่มันจะเข้ากับสิ่งที่มีอยู่ก็เลือกให้เฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับที่จะต้องไปอยู่ด้วยกันเข้ากันได้แค่นั้นแหละ

ดูจะเหมือนเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามมั้ยเธอ...

ทั้งร้านเท่าไหร่!!

วันนี้มีอารมณ์อยากอัพหลายบล๊อก 55

โฆษณาบัตรเครดิตรายหนึ่งเมื่อเป็นสิบปีที่แล้วมั้ง ที่คุณผู้ชายวัยดึกเดินเข้าร้านเพชร แล้วก็เจอสายตาประมาณว่า "ดูถูก" จากพนักงานที่ร้านเพชร แล้วก็พูดว่า "แพงนะ" (มีปัญญาซื้อเหรอ แล้วก็มองหัวจรดเท้า) ซะใจตรงที่ (คิดว่าฉันไม่มีปัญญาจ่ายรึไง) คุณผู้ชายก็ถามว่า "ทั้งร้านเท่าไหร่" แล้วก็ตัดเป็นคำโฆษณาว่าอำนาจการใช้จ่ายของบัตรเครดิตรายนี้ ไม่จำกัด ถ้าซื้อเพชรได้ทั้งร้าน มันไม่ใช่แค่ล้านเดียวนะเธอ มันต้องเป็นหลายสิบล้านเลยล่ะ ไม่ใช่ตู้เพชรนะเธอ ร้านเพชร!!

อย่าดูคนที่ปก ดูทีช่วยดูให้ลึกซึ้งหน่อย (นะ)

แต่ถ้าเป็นหนังสือปกสวยก็น่ามองใช่มั้ยเธอ (สุกใส) แล้วเปิดเข้าไปก็ยิ่ง (ตะติ้งโหน่ง) บางทีคนก็อาจจะมองว่า "ปกสวย" มักจะ "สมองกลวง" ให้คำนิยามอะไรต่อมิอะไรซะใหม่นะจ๊ะ

อย่างที่บอกหนังสือบางเล่มก็ สุกใส ข้างในตะติ้งโหน่ง 55

วันนี้เอ้อระเหยลอยลมเหลือเกิน งานการไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอัน (เพราะมันมีหลายอันให้ทำ) เริ่มต้องจัดสรรตัวเองให้ดีๆ แล้วล่ะ อะไรๆ ก็น่าทำไปหมด แล้วฉันจะแบ่งภาคที่ไหนละเนี่ย

แต่มีความสุขแล้วอะไรๆ ก็บ่ยั่นละน้า ล้าลา

หมั่นไส้

เป็นความสามารถพิเศษของฉันที่หาคนลอกเลียนแบบได้ยาก

ใครไม่หมั่นไส้ฉันแปลว่าเป็นคนไม่ปกติ

พริ้นเตอร์เลเซอร์ที่เพิ่งถอยมาใหม่ๆ ทำพิษกับฉันซะแล้ว อะไรกันนี่ ทำไมหมึกมันถึงหมดได้เร็วปานนั้น ยังพิมพ์ไม่ถึงพันแผ่นเลย ที่ตั้งใจจะซื้อเลเซอร์สียี่ห้อเดียวกันเป็นอันต้องนำนโยบายนี้มาทบทวน

ของดีก็ราคาแพงอย่างที่รู้ๆ กัน เฮ้อ ถ้าจะเปรียบพริ้นเตอร์เป็นคน ยี่ห้อแรกที่ฉันจะซื้อก็คงเป็นคนธรรมดา ติดดินง่ายๆ ทำได้สารพัด แต่รู้สึกจะทำได้แป๊ปเดียว ไม่เหมือนพริ้นเตอร์ที่อาจจะต้องตัดใจซื้อ หยิ่ง ไฮโซ เชอะ!! แต่พอลงทุนไปแล้ว คุ้ม ไม่มีปัญหาจุกจิกทีหลัง กล้าสู้ราคารึเปล่าเท่านั้นแหละ

ฉันอยากเจอจัง พริ้นเตอร์ที่กระทัดรัด ราคาประหยัด ไม่ต้องดูแลรักษามาก ค่าบำรุงก็ไม่แพง ไม่ใช่เปลี่ยนอะไหล่ เปลี่ยนหมึกที โอย ฉันจะเป็นลม ฉันกำลังคิดว่าฉันเจอคนสเปคนี้นะ แต่ไม่รู้จะเป็นโรคเดียวกับพริ้นเตอร์ที่ฉันซื้อมารึเปล่า คือ ดีแป๊ปเดียว

กลับมาที่คำพูดอมตะอีกแล้ว

ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน

เกี่ยวกับหมั่นไส้ตรงไหนเนี่ย...(อ่านแล้วยังไม่หมั่นไส้อีกเหรอ!?!?!)

ตีสองสี่สิบ

เวลานี้ หลายๆ คนคงจะหลับใหลฝันใฝ่ในสิ่งลึกๆ ใต้จิตสำนึกอยู่กระมัง แต่เวลานี้สติฉันมิค่อยสมประดี ด้วยว่าร้างลาจากแอลกอฮอล็กมานาน จนจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายเมือใด

ฤทธิ์เหล้าทำให้ทำอะไรมากมายที่ถ้ามีสติคงไม่ทำ ไม่ได้แปลว่าฉันทำอะไรเลวร้ายหรอกนะ อย่าเพิ่งคิดไปไกล

หน้าที่ของฉันตอนนี้คือเตรียมของตักบาตรพรุ่งนี้เช้า (ก่อนเข้านอน) แบ่งข้าวสารเป็นถุงๆ สำหรับตักบาตร ด้วยฉันรู้ว่าถ้านอนเพื่อให้ตื่นทันตักบาตรคงเป็นไปไม่ได้ ฉันจึงเลือกที่จะถ่างตารอคอยเวลานั้น

ดูสิว่าฉันจะทำซองข้าวสารได้เท่าใด

แต่ระหว่างนี้ ฉันก็มีเครื่องเล่นใหม่ รู้มั้ยว่าฉันเกือบซื้อพริ้นเตอร์สองเครื่องแล้ว ถ้าไม่ได้ขอคำปรึกษาจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายว่า ควรจะเลือกพริ้นเตอร์ประเภทไหน แต่ว่าฉันก็รอคำตอบจากหวานใจของใครไม่รู้อยุ่เหมือนกันนะ

แหะ ๆ

ไปห่อข้าวดีกว่า ทำบุญล้างบาปเสียบ้าง จะได้โชคดี เฮงๆ กับเค้าซะที เนอะ

โจโจ้ซัง



Sukiyaki - Nat Tol
เป็นละครเวทีไทยที่เพอร์เฟคที่สุดเท่าที่ฉันเคยดู ฉันไม่ต้องการจะนำผลงานของไทยไปเปรียบกับผลงานอมตะอย่าง Phantom of the Opera ที่ทำให้ฉันร้องไห้เป็นเผาเต่าทั้งที่ภาษาอังกฤษไม่ได้กระดิกสักกี่ตัว (แม้จะเรียนจนจบปริญญาโทก่อนดูละครบรอดเวย์เรื่องนี้แล้วก็ตาม) แต่ฉันว่าผลงานของคนไทยไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้ดีถึงขนาดนี้ กว่าฉันจะพูดคำๆ นี้ได้ ไม่ง่ายหรอกนะเธอ แต่ฉันนับถือทีมงานของ True Fantasia ในหลายๆ ครั้งที่ดู AF ฉันไม่ได้หมายความว่าผลงานของ True เลิศเลอเพอร์เฟค เพราะมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่ทุกครั้งที่ฉันดูการแข่งขันทุกคืนวันเสาร์ ฉันเห็นเขาแก้ปัญหา ข้อเสีย ความบกพร่องที่ทำได้ไม่ดีในอาทิตย์ก่อนๆ ได้เสมอ เพราะฉะนั้น การทำงานที่มีพัฒนาการดีเยี่ยมเช่นนี้สำหรับคนไทยเป็นนิมิตหมายที่ดีอย่างที่สุด งานที่มีคุณภาพได้รับการยอมรับ ทำให้คนทำงานมีไฟที่จะผลิตผลงานดีๆ ไม่ใช่ผลิตแต่ผลงานที่ขายหน้าตานักแสดง

ฉันชอบณัฐและพัดชาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว (ไม่งั้นจะเอามาตั้งชื่อตัวเองเหรอ!) เสียงของลูกโป่งก็กินขาดแบบไม่มีใครเทียม True Fantasia ทำอะไรได้ลงตัวอย่างที่ฉันขอยกนิ้วให้ ในเรื่องมีฉากที่เมียทั้งสองของพระเอกจะต้องประชันกัน ถ้าเลือกคนที่เสียงสู้กันไม่ได้ ฉากนั้นจะกร่อยทันที แม้พัดชาจะได้แสดงน้อยเมื่อเทียบกับคุณภาพเสียงที่ล้นปรี่ แต่แค่ฉาก "ปะทะ" ฉากเดียวก็คุ้มค่าตั๋วอย่างยิ่งยวดแล้วละเธอ เนื้อและทำนองเพลงทำได้ดีมาก ท่อนประสาน จากตอนต้นที่เคทมาหาโจโจ้ซังด้วยต้องการจะมาเอาลูกของสามีกลับไปเลี้ยงที่อเมริกา เธอดูถูกเหยียดหยามสารพัด แต่แล้วเพลงก็บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาจนเคทเข้าใจในที่สุดว่าเข็มกลัดผี้เสื้อที่เธอได้รับจากสามีเป็นสัญลักษณ์ของรักนิรันดร์หาใช่สำหรับเธอไม่ เป็นเพียงตัวแทนให้ระลึกถึงผีเสื้อแห่งนางาซากิ....จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...โจโจ้ซัง

ทันที่ที่เคทได้เห็นปิ่นปักผมรูปผีเสื้อ (ปิ่นที่ชนะใจโจโจ้ซัง ชนะแหวนของราชวงค์ที่เจ้าชายยามาโตรินำมาประมูลในวันที่โจโจ้ซังต้องเลือกผู้อุปถัมภ์)เคทก็เพิ่งรู้ว่าเธอไม่เคยเป็นผู้หญิงในใจของสามีเธอเลย แต่ในโลกของเหตุผล เธอก็ใช้เหตุผลพูดจนโจโจ้ซังยอมยกลูกให้และแก้ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นโดยการทำฮาราคีรี ฉากที่สองสาวประชันกันเป็นฉากที่ฉันประทับใจเหลือเกิน

แต่ฉันร้องไห้ตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้วนะเธอ ฉันร้องไห้ตั้งแต่ฉากที่โจโจ้ซังแต่งงานกับพิงเคอร์ตัน แทนที่จะเป็นฉากที่รื่นเริงสุขสม ความทุกข์ในใจของเจ้าชายที่พ่ายรักกลับท่วมท้นในใจฉันอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ การเคลื่อนไหวเพียงนิดเดียว การสาวเท้า เหลียวหันมอง บ่งบอกความรู้สึกได้รุนแรง กระแทกกระทั้นยิ่งกว่าการกระทำอย่างโจ่งแจ้งเป็นไหนๆ เจ้าชายทำได้เพียงเท่านั้น

อีกฉากที่เจ้าชายมาหาโจโจ้ซังที่ยังคงรอคอยการกลับมาของพิงเคอร์ตันอย่างมั่นคง เป็นวันก่อนวันแต่งงาน (ตามหน้าที่)ของเจ้าชาย เจ้าชายขอใช้ความพยายามสุดท้ายโดยหวังว่าจะเปลี่ยนใจให้โจโจ้ซังหันมาเลือกตนคนที่จะดูแลทนุถนอมดอกไม้งามตลอดไป แต่โจโจ้ซังเลือกยึดมั่นในคำสัญญากับสามี แม้เจ้าชายจะคุกเข่าก้มลง
หัวจรดพี้นเพื่อรักยิ่งใหญ่ครั้งนี้ โจโจ้ซังซาบซึ้งในความรักที่มีก้มลงคุกเข่าก้มหน้าจรดพื้นเช่นกันเพื่อแสดงการปฏิเสธอย่างนุ่มนวลที่สุดของเธอ ฉากนี้เป็นฉากที่เจ้าชายผู้สูงศักดิ์แต่มีใจรักอันยิ่งใหญ่ ยอมทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อนางอันเป็นที่รักโดยไม่แคร์ว่าเธอมีลูกและสามีแล้ว และเจ้าชายก็กล่าวคำว่า "ลาก่อน" ตัดใจตัดสายสัมพันธ์เพื่อหน้าที่ของสามีของหญิงที่กำลังก้าวเข้ามาในชีวิต

ฉันว่าฉันไม่ได้อินกับบทเจ้าชายเพราะคนแสดงเป็นหลานฉันหรอกนะ ฉันว่าหลานฉันแสดงดีจริงๆ เป็นการแสดงที่มีพลังอย่างประหลาด

ที่ฉันชม True Fantasia หนักหนาก็เพราะความลงตัวของละครเรื่องนี้ในทุกๆ แง่ ทุกๆ ด้าน การทำให้ผู้ชมเข้าใกล้ตัวละครมากขึ้นโดยการที่ตัวแสดงเดินเข้าข้างๆ ผู้ชม มีการทักทายผู้คนที่เดินผ่าน การที่เอามุขตลกของ AF มาใช้ในเรื่อง ทำให้คนดูอารมณ์ดี หรือแม้แต่ตอนจบที่เศร้า แต่ให้ความหวังว่าในชาติปัจจุบันพระเอกกับนางเอกอาจจะได้สมรักกันในที่สุด ลูกของโจโจ้ซังที่น่ารักก็มีเสน่ห์ทำให้พี่ป้าน้าอาทั้งหลายเทใจไปให้เรียบร้อยแล้ว เอาเป็นว่าฉันยังติละครเรื่องนี้ไม่ได้เลยละกัน

ออฟ AF 2 แม้จะไม่ได้บทเป็นพระเอก แต่บทที่ได้รับก็เด่นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร เหมาะกับออฟมากและทำให้มีโอกาสได้แสดงความสามารถหลากหลายทั้งเป็นนายหน้าบ้าเงินและชายแก่ที่เล่าเรื่องทั้งหมด

ละครเรื่องนี้ ไม่ทำให้ใครเด่นเกิน ไม่ทำให้แฟนของ AF คนไหนรู้สึกว่าคนที่ตนชื่นชอบต้องตกเป็นรองใคร แม้แต่การแสดงที่มีนักแสดงสองชุด ฉันถือว่าชุดที่ดูเหมือนว่าจะเป็นชุดหลักกลับไม่ได้รับการโปรโมทเหมือนเป็นตังแสดงหลัก กลับดึงการแสดงของอีกชุดที่ด้อยกว่าให้มาอยู่ข้างหน้า เพื่อให้ภาพรวมไม่โดด ไม่เหมือนละครเวทีบางเรื่องที่ความสามารถของตัวแสดงนำโดดเด่นแตกต่างจากนักแสดงที่เหลือจนทำให้ภาพรวมของละครไม่ดีเท่าที่ควร หรือการที่มีบทพระเอกสองคนก็ทำให้รู้ว่าคนไหนคือตัวจริง คนไหนคือตัวสำรอง

ขอยกย่องว่า True Fantasia คิดรอบคลอบคลุมเรื่องเล็กน้อยต่างๆ ได้ครบถ้วย การทำมิวสิควิดีโอของละครเพลงเรื่องนี้ก็เป็นการโปรโมทที่ดีมากๆ ใจฉันยังอยากให้ทำเทปให้ศิลปินได้มาตรฐานดีอย่างนี้ด้วยเลย ชอบจริงๆ ค่ะ โจโจ้ซังเวอร์ชั่นนี้ เป็นความลงตัวยิ่งกว่า ณัฐพัดชา ซะอีกนะเนี่ย

เพ้อเจ้อ

วันนี้เป็นวันที่แปลกมาก เป็นวันที่ฉันเขียนไม่ออก

ปัญหานี้ฉันจำไม่ได้ว่าเคยเกิดขึ้นกับฉันเมื่อใด มันคล้ายกับว่า ฉันอยากจะเขียนแต่พอคำนึงถึงผลกระทบจากการเขียนก็ทำให้ฉันตัดสินใจไม่เขียนเรื่องที่อยากจะเขียน ทำไมฉันอยากเขียนบล๊อกไม่เขีขนไดอารี่ที่อยากจะเขียนอะไรก็ได้ แล้วพอตายไปแล้วมีใครมาอ่านมาค้นพบก็ไม่ต้องกังวลถึงผลกระทบใดๆ แล้ว เพราะเจ้าตัวก็ไม่อยู่แถมเรื่องบางเรื่องอาจจะผ่านไปหลายสิบปีจนสาระของสิ่งนั้นไม่ได้มีความสำคัญต่อใครหรืออะไรอีกต่อไป

มีคำพูดของใครหลายคนที่ก้องอยู่ในความคิดของฉัน เหมือนมันค่อยๆ จางหายแล้วก็กลับเข้ามาใหม่ สลับกับความทรงจำกับใครอีกคน พร้อมๆ กับที่ความคิดของฉันก็ผสมผสานไปกับภาพความทรงจำนั้นด้วย ฉันให้เหตุผลให้กับการกระทำของตัวเองเสร็จสรรพ แล้วก็พยายามเลิกคิด แล้วอีกเรื่องก็แว๊บเข้ามา ย้อนให้นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากเหตุการณ์นั้นๆ ใครคิดอะไร ใครรู้สึกอย่างไร ไม่มีใครรู้

กลับจากร้องเพลงวันนี้ ฉันก็กลับมาอยู่กับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าต้นไม้อีกครั้ง คราวนี้เตรียมเสบียงมาเพียบเลยเชียว ด้วยว่าน้ำหนักลดไปหลายกิโลจากอาการไม่ทำกับข้าวและกินมื้อเดียวด้วยความมันส์ในอารมณ์ ทำงานไม่รู้จักหยุดหย่อน เสาร์อาทิตย์นี้ก็เลยได้แต่นอน นอน และนอน น่าจะอิ่มพอที่จะเริ่มต้นอาทิตย์ใหม่ได้อย่างสดชื่นพอควร

ปัญหา

หลังจากแก้ปัญหาพริ้นเตอร์ตัวเดิมได้แล้ว ก็มาเจอปัญหากับพริ้นเตอร์ตัวใหม่เข้าจนได้ ฉันลงไดรเวอร์พริ้นเตอร์ร่วมสิบทีแล้วเห็นจะได้ ทุกครั้งจะมีไดอะล็อกบอกซ์ถามว่า pdl_lang อยู่ไหน บอกฉันที หาทั้งในเน็ตทั้งเว็ปบอร์ดที่คนไทยก็มีปัญหากับพริ้นเตอร์ยี่ห้อนี้ ได้คำแนะนำไปลองใช้ ทุกแง่ทุกมุมแล้ว ก็ยังทำให้มันทำงานไม่ได้ วันนี้ฉันขอยอมแพ้ ส่งรายละเอียดปัญหาและ error message ไปให้ทีมงานของยี่ห้อนี้แล้ว คราวนี้ก็ได้แต่รอเวลา พรุ่งนี้อาจจะฮึดขึ้นมาสู้อีกสักตั้ง

ถ้าไม่โยงเข้าเรื่องอื่นเห็นจะไม่ใช่ฉันเป็นแน่แท้ ฉันลงไดรเวอร์ไปก็คิดไปถึงเรื่องที่มีคนเข้าใจผิด แต่ก็ไม่รู้จะไปแก้ให้เข้าใจถูกอย่างไร เพราะคนเราจะเห็นในสิ่งที่อยากเห็นเท่านั้น ถ้าเขาจะได้เข้าใจ วันนึงก็เข้าใจเองโดยที่เราไม่ต้องอธิบาย ความคิดบางอย่างเริ่มผุดขึ้นมา ควรต้องมีการปรับปรุงอะไรเพื่อให้อะไรดีขึ้น ทำไมถึงเป็นอย่างที่เป็น ทำยังไงจะดีกว่าที่เป็นอยู่ และแล้วก็ปลง กลับมาที่จุดเริ่มต้นว่า ถ้าเข้าใจก็เข้าใจ ถ้าไม่ทำยังไงก็ไม่

โต๊ะหมายเลข 5 บัตรเลขที่ 3


ทุกชื่อในบัตรคอนเสิร์ต(ขอเรียกให้ดูวัยสะรุ่นหน่อยนะ)ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต เว้นแต่ชื่อ จิตติมา เจือใจ พอแว่วๆ มาบ้าง แต่ถ้าถามว่าเธอคือใคร ทำอะไร ได้ยินที่ไหน บอกไม่ได้เลยเจ้าค่ะ

แล้ววันนี้ ฉันก็ได้เห็นโลกในอีกหนึ่งมุม มุมที่เพื่อนๆ หรือแม้แต่รุ่นพี่ประมาณ 10-20 ปี ก็อาจจะยังไม่ค่อยทันเท่าไหร่ ฉันเริ่มนึกว่านี่ฉันหลุดไปอยู่ในกลุ่มไหนเนี่ย ดูคนที่มาในงานจะรู้จักกันเป็นอย่างดี แล้วก็ใส่เสื้อฟ้ากันทั้งนั้น ฉันเองก็ลืมนึกไปว่าทำไมเค้าถึงใส่สีนี้กันหมด ไม่เป็นไร แต่โต๊ะของฉันทั้งโต๊ะก็ไม่ได้อยู่ในแวดวงนี้เหมือนกัน ไม่ใช่ฉันคนเดียวที่รู้สึกเพิ่งเข้ามาในแวดวงใหม่หรอก ญาติผู้ใหญ่ของฉันแม้จะอายุเลยหกสิบเจ็ดสิบมาหลายปีแล้ว บางคนก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เพลงที่เล่นในงาน ฉันก็ร้องได้หลายเพลงอยู่

งานดูไทยมากๆ เป็นเพลงไทยสมัยสุนทราภรณ์ มีคนเล่นไวโอลินด้วยนะเธอ ฉันเพิ่งรู้อีกเหมือนกันว่ากลุ่มที่มา ส่วนใหญ่ก็เป็นแฟนรายการวิทยุที่เปิดเพลงรักอย่างที่เล่นในงานวันนี้เนี่ยแหละ ญาติคนที่ชวนพวกเรามาเป็นแฟนประจำของดีเจ โอ หน้าตาเป็นยังไงก็ดูในรูปข้างบนได้เลย วันนี้เป็นธีมวันแม่ แม่ของคุณโอก็มาด้วยเพราะก็คงเป็นแฟนประจำรายการของลูกชายเช่นกัน มีการเชิญให้ยาย แม่และลูกสาวขึ้นเวที ได้แสดงความรู้สึกและกราบเคารพผู้ให้กำเนิด นักร้องดังรุ่นเดอะร้องเพลงเทิดทูนแม่อย่างค่าน้ำนม ใครหนอ ขับกล่อมอย่างใกล้ชิด ทุกโต๊ะรอบห้องทิพย์พิมานของโรงแรมมิโด้ มีนักร้องรับเชิญหลากหลายทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นเล็ก บางคนชนะการประกวดที่ศาลาเฉลิมกรุงตั้งแต่อายุ 14 ปี บัดนี้เธออายุ 22 ปีกำลังจะได้ทำเทปของตัวเอง อีกหนึ่งก็เป็นแชมป์สยามกลการ เสียงแว่วหวานกันทุกคน แล้วคนสำคัญก็ขึ้นเวที คุณสุวัจชัย สุทธิมา อายุ 70 กว่าแล้วแต่ยังหล่อเนี้ยบ หวีผมเรียบแปล้ ถ้าบรรดาแม่ๆ ไม่บอก ฉันคิดว่าอาจจะสี่สิบปลายๆ หรือต้นห้าสิบเท่านั้นแหละ คุณสุวัจชัยเป็นนักร้องรุ่นเดียวกับชรินทร์ นันทนาคร นอกจากนี้ก็มีภรรยาหม้ายของนักร้องดังอีกคน(ที่ฉันไม่เคยได้ยินอีกนั่นแหละ)คุณเลิศ ประสมทรัพย์ ภรรยาของท่านผู้นี้เป็นหม่อมหลวง นามสกุลเดิม มาลากุล เมื่อ 30 กว่าปีก่อน ลองย้อนนึกไปซิว่า อาชีพร้องเพลงน่ะ ไม่ได้รับการยกย่องเชิดชู ใครไปแต่งงานกับนักร้องมีแต่คนค่อน ดูถูก แถมสกุลใหญ่โตอย่างมาลากุล แทบจะเปรียบได้กับดอกฟ้าและหมาวัดเลยกระมัง ที่กล่าวมานี้ ก็เพราะว่ามล.ปราลี ขอใช้เวทีนี้ขอบคุณคุณแม่ของเธอที่อนุญาตให้แต่งงานกับคุณเลิศผู้วายชนม์

งานไม่ใหญ่ไม่โต มีประมาณสิบโต๊ะ บรรยากาศเป็นกันเอง แม้แสงไฟสว่างจ้า แฟนๆ รุ่นใหญ่รุ่นเดอะแต่ไม่แพ้วัยรุ่นเวลาชื่นชมศิลปินคนโปรดหรอกนะ ยิ่งนักร้องสุดหล่อร้องเพลงเวียนไปแต่ละโต๊ะได้รับดอกกุหลาบ แฟนๆ ขอถ่ายรูปคู่ เสียงแฟลชแวบวับเพิ่มความสว่างให้กับห้องจนแสบตา นักดนตรีเอก มองมุมข้างเหมือนครูเอื้อ สุนทรสนาน เล่นดนตรีเงียบๆ อยู่นาน จนพิธีกรคุณโอ ขอให้ร้องเพลงในอัลบั้มของตนเอง นั่นล่ะ ถึงได้ยินเสียงของ ร.อ.สมคิด เกษมศรี บางคนว่าเสียงดีกว่านักร้องที่คุณสมคิดเล่นดนตรีให้ด้วยซ้ำไป มีท่านทูตที่รักในเพลงไทย"ร่วมสมัย" ร่วมร้องเพลงเสียงไม่แพ้นักร้องอาชีพเหมือนกัน ฉันชอบใจที่ท่านร้องเพลงสดุดีมหาราชาดังกึกก้องด้วยความจงรักภักดี พวกเราในห้องทิพย์พิมานก็จุดเทียนชัย ร่วมร้องเพลงพร้อมๆ กับคนไทยทั้งประเทศเช่นกัน

ไม่แค่นั้น ได้ดูมวยคนไทยที่แข่งโอลิมปิคด้วย ตอนที่คนไทยชนะ ด้วยความที่โต๊ะของเราอยู่ติดทีวี เลยปรมมือกันทั้งโต๊ะ คนโต๊ะอื่นมองกันเป็นตาเดียวว่าโต๊ะนี้ยินดีอะไร นอกจากจะไม่ซื้อดอกไม้ ไม่มอบดอกไม้ให้นักร้องเหมือนคนอื่นๆ แถมยังปล่อยให้นักร้องมาร้องเพลงที่โต๊ะโดยท่าทางสำรวม(เกินไป) จนฉันคิดว่าถ้าไม่ใช่คนที่เจนเวที อาจขาดความมั่นใจขนาดหนักได้ สรุปว่าเราเป็นโต๊ะที่หลงมา แต่ก็มีสองคนหลงไปรำวงกับเค้าด้วยก่อนกลับนะจ๊ะ แสดงว่า ก็พอหลิ่วตาได้เล็กน้อยถึงปานกลาง

555

Hair rebonding แฮร์ รีบอนด์ดิ้ง

ถ้ามีหนุ่มๆ หรือผู้ใหญ่หลงเข้ามา อาจจะงงๆ ว่า รีบอนด์ดิ้งคืออะไร สำหรับฉัน ผ่านการทำรีบอนด์ดิ้งมาสองรอบแล้วล่ะ ครั้งแรกทำจนผมยาวจนตัดทิ้งไปหมดแล้ว ไว้ยาวใหม่อีกรอบเปลี่ยนเป็นดัดผมหยิกแทน แล้วก็ตัดผมที่ยาวครึ่งหลังออก มาจบที่การทำรีบอนด์ดิ้งหนที่สองในชีวิต คนผมหยักศก หรือฟูฟ่องเป็นฝอยหยอยหยิกจะมีความสุขมากที่ได้มีโอกาสผมตรงยาวสลวย แม้ฉันจะไม่ได้มีผมหยิกขอดติดศีรษะเหมือนบางคน แต่ถ้าไม่ไดร์ผม ผมบ๊อบทรงใหม่แต่เดิ้มเดิมของฉันก็จะพอเป็นลูกชมพู่ คือเรียบมีน้ำหนักที่โคน แต่ฟูพองลมเหมือนชมพู่ไม่มีผิดเพี้ยน แม้จะไดร์เองแล้วก็ตาม ปล่อยทิ้งไว้อีกพักใหญ่ก็ค่อยกลายสภาพเป็นชมพู่เหมือนเดิม

การตัดสินใจกลับมาไว้ผมบ๊อกอีกครั้งทำให้ชีวิตลำบากขึ้นอีกไม่น้อย กลายเป็นว่าต้องเข้าร้านสระไดร์ทุกครั้งหรือไม่ก็ต้องไดร์เอง แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องรัดผม แทนที่จะได้อวดผมทรงที่ทำให้ดูหน้าเด็ก ลงทุนเสียค่าซอยผมไปหลายอยู่ และนั่นก็เป็นที่มาของการทำรีบอนด์ดิ้งหนนี้ นั่งให้ช่างชโลมน้ำยาคลายผมจนครอบคลุมทุกอณูของเนื้อผม ขนาดที่ช่างลงทุนใช้มือลูบไล้ รีด ขย้ำเพื่อให้เข้าเนื้อที่สุด จนมือตัวเองเปื่อยหลังจากทำรีบอนด์ดิ้งมาสามสี่วันติดต่อกัน ซึ่งมีทั้งน้ำยาไทย น้ำยานอก ฉันละเป็นห่วงจริงๆ เมื่อชโลมน้ำยาคลายผมจนทั่วแล้วก็อบไอน้ำ จากนั้นก็เน้นย้ำอีกทีว่าน้ำยาเนื้อครีมขาวข้นแทรกซึมไปทั่วแล้วหรือยัง ช่างมือเปื่อยของฉันเอาปอยผมมาหมุนๆ ดูสองสามครั้ง ประมาณว่าได้ทีแล้วก็ชวนให้ฉันลุกไปสระผม คราวนี้ก็เป่าให้ผมแห้งและหนีบผมให้ตรงอย่างที่ต้องการ หนีบทีควันไอร้อนค่อยๆ พวยขึ้นเป็นกลุ่มบางๆ พอให้ฉันเป็นห่วงว่าผมจะไหม้รึเปล่า ช่างผู้ทุ่มเทหนีบผมอยู่สองสามรอบ หยิบผมครั้งละน้อยๆ อย่างตั้งใจ ผมฉันก็หนาใช่ย่อย เห็นใจความมุ่งมั่นและจิตใจที่จดจ่อกับงานที่ทำของเธอ ถ้าใครๆ ทำงานอย่างตั้งใจเหมือนเธอ ฉันว่าประเทศไทยจะพัฒนาไปอีกเยอะเชียวล่ะ จากนั้นก็ถึงเวลาใส่น้ำยาหยุดผมไว้ ณ ที่ตรงนี้ ตัวน้ำยาก็จะทำให้ผมคงรูปตามที่หนีบไว้ ช่างคนดีก็ทำเหมือนครั้งทาน้ำยาคลายตัวผมนั่นแหละ แต่เมื่อเธอบ่ยั่น บอกว่าไม่แสบ ยังยืนยันจะใช้มือสัมผัสน้ำยาครีมขาวข้นตามเดิม ฉันก็ไม่ขัดข้อง เพื่อนช่างจะมาช่วย เธอก็บอกไม่ต้อง เดี๋ยวทำเอง ฉันเหลือบมองแขนของเธอผู้ทรงพลัง นึกในใจว่าเป็นการออกกำลังกายที่ดีแท้ ทำงานได้ตังค์ ได้ออกกำลังไปในตัว ไม่ต้องกลัวแขนหย่อนเหนียงยาน

ระหว่างนั่งนิ่งให้ช่างทำมิดีมิร้ายกับผมฉัน มอเตอร์ไซด์ก็วิ่งเอางานมาส่ง ฉันก็โทรศัพท์ติดต่องานการ ตรวจปรู๊ฟเรียบร้อย โทรศัพท์เปื้อนน้ำยา อันนี้จะทำให้โทรศัพท์เปลี่ยนรูปมั้ยนั่น

ล้างผมคราวนี้ก็ใส่ครีมบำรุง แล้วก็เป่าแห้งได้เลย ไดร์อีกนิดให้คงตัวสวยงาม ช่างขอให้ปล่อยผมไว้อย่างนี้ 3 วันค่อยสระ ถ้าหลังจากนี้มาสระไดร์ก็จะดี เพราะเชื้อน้ำยายังอยู่ แล้วอีกสองอาทิตย์ค่อยมาอบไอน้ำ ตอนนี้ฉันเอ็นจอยสะบัดผมมากเลยล่ะ แหม คนผมฟูแล้วมีผมเรียบสลวยก็แฮปปี้อยู่แล้ว

ทิปช่างคนขยันไปหนึ่งใบแดง เธอตกอกตกใจ ฉันถือว่าเป็นการแสดงน้ำใจให้ความความใส่ใจในการทำงานของเธอ แม้ว่าอัตราทิปของร้านนี้จะไม่เหมือนกับร้านทำผมในห้างสรรพสินค้าใหญ่โต ฉันพึงใจจะให้เธอมากกว่า เพราะเงินเท่ากันสำคัญกับเธอมากกว่าช่างไฮโซ อีกอย่าง ฉันคงได้มาใช้บริการเธออยู่เนืองๆ เป็นการหว่านพืชหวังผลโดยแท้ คนในชีวิตของเราก็ต้องมีประโยชน์กับเราในแง่ใดแง่หนึ่งละนา เธอจะได้รู้ว่าฉันอภิเชตการบริการมือเปื่อย!!

A New Me

Photobucket

ปรับแต่งจาก www.photobucket.com เลือกตกแต่ง blur sketch border ลองไปลองมาก็ออกมาเป็นรูปอย่างที่เห็นเนี่ยแหละคะ

สิ่งที่แว่บ

ฉันควรจะนอนมาหลายชั่วโมงแล้ว แต่พอนึกได้ว่าน่าจะทำอะไรบ้างก็เลยทำให้มันเสร็จๆ ไปซะ จะได้ไม่กังวลและไม่ลืม เรื่องสำคัญอีกเรื่องคือ ฉันควรจะทำอะไรกับรถที่สตาร์ทไม่ติดเสียที เอ หรือจะมีโชเฟอร์ใส่เสื้อสีฟ้าสักวันสองวันดี

ความคิดสารพัดผุดแว่บเข้ามาระหว่างทำงานนั้นงานนี้ บางอย่างมาบ่อยจัง แล้วฉันก็นึกทางออก หรือคำตอบให้กับคำถามเสร็จสรรพ แล้วก็ย้อนนึกไปถึงคำพูดของบางคนว่า "อย่าตีความ" แม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้าก็ยังให้โอวาสตอนฉันไปที่วัดเขาแผงม้าว่า "ไม่ต้องไปตีความอะไรทั้งนั้น เราตี เค้าก็ตี ตีกันไปกันมา ปวดหัวเปล่าๆ" อาจจะเป็นประมาณว่า ถ้าซื่อบื้อแล้วมีความสุข ก็เป็นซะ ไม่ดีกว่าหรือ

กลัวอีกแล้ว กลัวว่าสิ่งที่ฉันทำจะมีผลกระทบต่อคนอื่น บางครั้งฉันไม่ได้คาดหวังว่าคนอื่นจะต้องเป็นยัยบ้าอย่างฉันหรอกนะ แต่การกระทำของฉันบางครั้งมันก็เป็นการขู่บังคับชาวบ้านเขาทางอ้อม เพราะคนทั่วไปเขาใช้วิธีนี้กันไง ถ้าใครใช้มาตรฐานที่คนอื่นทำกันกับฉันก็จะเครียดมิใช่น้อย ฉันคุยกับพี่อยู่คนนึง ซึ่งเป็นคนพูดตรงๆ อย่างฉันนั่นแหละ ด้วยความที่มนุษย์ทั้งโลกเขาไม่พูดกันตรงๆ การพูดตรงของฉันจึงถูกตีความเหมือนกับคนอื่นๆ ถ้าคนทั่วไปพูด 70% ของสิ่งที่รู้สึกหรือหมายถึง ถ้าเป็นฉันพูด ฉันก็จะพูด 100% เลยแล้วก็จบแค่นั้น แต่อย่างที่บอก ถ้าฉันพูด 100% แต่คนใช้มาตรฐานของคนอื่นกับฉัน เขาก็จะเข้าใจว่าความจริงคือ 130% สรุปแล้วคนที่ทำอะไรตรงไปตรงมาต้องปรับให้เข้ากับคนที่ทำอะไรไม่ตรงใช่มั้ยเนี่ย หรือว่าฉันต้องแสดงให้คนอื่นๆ รู้ว่า แตกต่าง เขาถึงจะใช้มาตรฐานอื่นกับฉัน แต่มันก็ยากละนะ เพราะเวลาที่ฉันไม่พูดอะไรเลย ไม่ได้แปลว่าบางสิ่งบางอย่างไม่ได้มีตัวตนหรือไม่ได้มีความหมาย คนทั่วไปอาจจะเลือกพูดถึงซัก 70% เหมือนเดิมนั่นแหละ แต่ฉันเลือกจะไม่พูดถึงเลย เพราะฉะนั้น คราวนี้ 0% ของฉันคือ 100% ฉันทำให้คนอื่นไม่เข้าใจเอง ทำไงได้ ก้มหน้ายอมรับซะนะแม่ณัฐพัดชา

ตามันค้างแล้วอะ ทำยังไงจะหลับละเนี่ย อ้อ หลับไม่ได้ เดี๋ยวจะมีคนเอาของมาส่ง อาบน้ำซะเลยเป็นไง

ความผิดของคนโสด (รึเปล่า)

เรื่องของเรื่องคือเป็นการอยากจะระบายความอัดอั้นตันใจของผู้หญิงโสดอายุสามรอบ บางครั้งฉันก็เซ็งว่า ถ้าฉันสนิทกับคนที่อายุมากๆ และเป็นโสดเหมือนกัน มันจะต้องแปลว่า เราจ้องจะหาคนคู่กายโดยไม่แคร์ว่าเขาคนนั้นจะมีคู่แล้วหรือยัง หรือ

ผิดหรือ ที่คนโสดอายุมาก จะสนุกสนานตามประสา เมื่ออยู่นอกเวลาทำงาน การเป็นตัวของตัวเอง มันทำให้คนอื่นเดือดร้อนมากนักหรืออย่างไร ตกลงถ้าผู้หญิงโสดที่กล้าพูดกล้าคุย กินเหล้าเก่ง แปลว่าเป็นผู้หญิงไม่ดีรึเปล่า ฉันก็กลับบ้านคนเดียวแล้วก็มานั่งอัพบล๊อกอยู่นี่ไง

บางที การที่เห็นปฏิกิริยาของคนรอบข้างก็ทำให้อิดหนาระอาใจ มีไม่มากหรอกที่เข้าใจว่า ฉันก็แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ธรรมดา เอ (ตกลงเป็นยังไงแน่เนี่ย) เดี๋ยวนี้ ฉันเลยต้องร้อนตัวไว้ก่อน เวลาคนที่มีคู่แล้วมาชมฉัน ฉันต้องบอกเอาไว้ว่าอย่างพูดต่อหน้าแฟนของตัวเอง ฉันไม่อยากมีปัญหากับใครทั้งนั้น เพราะฉันเบื่อ จนฉันคิดจะปรับตัวใหม่ พูดเฉพาะกับคนเพศเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้อีกนั่นแหละ ไอ้นิสัยโผงผาง ถึงลูกถึงคนเหมือนผู้ชาย ทำให้ฉันมักจะมีปัญหากับเพื่อนผู้หญิง บางครั้งมันเป็นเรื่องน่าหมั่นไส้นะ ถ้าจะบอกว่า ฉันต้องเดินไปไหนมาไหนกับคนที่มีความสูงหรือรูปร่างใกล้เคียงกับฉัน โอเค กรณีนี้เพื่อนผู้หญิงคนนั้นจะอยากคบกับฉัน แต่ก็อีก เรามักจะถูกมองในแง่ไม่ดีอยู่บ่อยครั้ง จนบางครั้งฉันเดือดร้อนแทนเพื่อนที่กว่าจะหาได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญแล้ว กลับต้องมามีปัญหาอีกว่า ถ้าเดินไปไหนมาไหนไปด้วยกัน หรือคบหากันสนิทสนม ก็จะกลายเป็นว่า ตามล่าหา "เหยื่อ" ด้วยกัน

หลายๆ คนก็บอกว่า อย่าไปแคร์อะไรให้มันมากมายนักหนา เราไปบังคับความคิดเห็นของคนอื่นไม่ได้ แต่ภาพที่คนอื่นชอบมองทำให้ฉันรู้สึกลำบากใจจัง แม้แต่ในการทำงานหรือการแนะนำให้รู้จักกันทางธุรกิจ หลายครั้งที่การยื่นนามบัตรของฉันเป็นทางอ้อมที่คนอื่นคิดว่าฉันจะให้เบอร์ หรือการแซวเล่นบางอย่างก็ดูจะเป็นจริงเป็นจัง สรุปว่าทั้งผู้ชายและผู้หญิงกลัวฉันกันหมด

ฉันไม่ได้ทุกข์อะไรนักหนาหรอกนะ แค่พอเจออะไรที่มันตอกย้ำปัญหาเดิมๆ ของตัวเอง ก็เซ็งเล็กน้อยถึงปานกลาง พอเป็นน้ำจิ้มในชีวิต นี่ถ้าฉันเป็นโสดตลอดชีวิต ผู้ชายไม่มองฉันผิด และผู้หญิงก็ไม่อยากให้ฉันคุยกับแฟนหรือสามีตัวเองตายหรือนี่ สรุปว่าฉันต้องอยู่โดยไม่ต้องพูดกับใครงั้นสิ เฮ้อ เซ็ง

หายเซ็งละ ได้ระบาย เพราะไม่รู้จะไปใส่ใจอะไรกันนักหนา ว่าจะโหลดรูปแต่ก็หาสายต่อไม่เจอ ไว้วันหลังละกันนะ

วันนี้งานดำเนินไปได้ด้วยดี พอจบงาน ฉันก็ร่าเริงเต็มที่ ส่งต้นฉบับแล้ว งานก็จบแล้ว รอเวลาตั้งแผนสำหรับงานชิ้นต่อไป แล้วก็มีชีวิตสดใสในวันรุ่งขึ้น

ตกลงอาจจะไม่ได้เป็นความผิดของความเป็นโสดก็ได้นะ แล้วก็อีก บางคนก็อาจจะคิดในใจว่า แหม มาประกาศออกบล๊อกว่าโสด มีจุดประสงค์อะไรละนั่น

คนหนอคน

แต่ฉันก็หน้าบานกับมินิบุคส์ที่แจกวันนี้ละน่า 555

ไม่ได้เจอกันนาน

วันนี้ฉันนั่งกินข้าวอยู่ข้างหลังน้องที่เคยทำงานมาด้วยกัน สนิทกันไม่ใช่น้อย เพิ่งจะหันมาเจอหน้ากันตอนเช็คบิลเสร็จกำลังจะลุกออกจากที่นั่ง แล้วก็ต่างคนต่างอ้าว ไอ้เราก็คุยโทรศัพท์โขมงโฉงเฉง ส่วนน้องก็จ๋อๆ ๆ ๆ กับแฟน แต่ต่างคนต่างไม่ได้ยินกันเลย อย่างว่าแหละ ถ้าเราไม่ได้สนใจอะไร ต่อให้มาอยู่ข้างๆ ก็ไม่เห็น ไม่ได้ยิน

น้องไปเจอลูกพี่ลูกน้องฉัน ฉันก็รู้ แต่ไม่รู้ว่าน้องจะได้ไปเกี่ยวข้องกับพี่ของฉันมากน้อยแค่ไหน เลยไม่ได้แนะนำหรือคุยอะไรมากไปกว่า บอกไปว่า ถ้าจองไปแล้วคงขอส่วนลดได้ยาก ไม่ได้รู้ว่าพี่ฉันเป็นแม่งานช่วยจัดการให้เกิดการเดินทางเที่ยวชมครั้งนี้

คุยกันไปคุยกันมา ก็ได้คำยืนยันจากบุคคลที่สามว่า ฉันกับพี่คนที่ว่าเหมือนกันจริงๆ ทั้งลักษณะท่าทาง หน้าตา วิธีการพูดจา รวมไปถึงบุคลิกลักษณะและนิสัยใจคอบางประการ เพราะฉะนั้น ไม่ยากสำหรับฉันเลยที่จะรับรู้และเตรียมตัวเตรียมใจที่จะเจออะไรคล้ายๆ กับที่พี่เคยเจอ แต่ก็ไม่มีใครเหมือนใครหมดหรอกนะ แค่มีแสงส่องนำทางก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลยไม่ใช่เหรอ

ฉันดีใจที่พี่ฉันกับน้องดูจะคุยกันถูกคอ ฉันเองซะอีกที่ไม่เคยกอดลูกพี่ลูกน้องคนนี้ด้วยซ้ำ ฉันคงควรจะหัดกอดคนรอบข้างให้มากกว่านี้ แต่อย่างน้อยๆ ฉันก็ได้กอดเพื่อนๆ บ้างแล้วเหมือนกันล่ะ คงไม่ได้แข็งกระด้างจนเกินเยียวยานะเธอ

ชอบ...ช็อค...ชีวิต...ช้ำ

งาน รวมพลคนอ่านและไม่อ่านงาน มูราคามิ จบลงแล้ว คนที่มาร่วมงานก็คงกลับไปพร้อมที่จะเจอะเจอสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต หรือไม่ก็ต้องซ้ำซากจำเจกับอะไรเดิมๆ ทำไมฉันถึงชอบภาพนี้นักนะ ไม่รู้สักกี่คนจะได้มองจริงๆ ว่าพื้นหน้าบาร์และขาเก้าอี้ทำด้วยวัสดุใด มันดูว่างเปล่า เหงาๆ คล้ายกับเป็นเวลาที่ร้างราผู้คน แต่จริงๆ แล้วฉันก็ถ่ายตอนที่คนอยู่เต็มร้านนั่นแหละ เพียงแต่ว่าง ณ ตรงนั้น ในความแออัด มีความว่างเปล่า และน่าแปลกที่มักจะเป็นสิ่งตรงข้ามที่อยู่ด้วยกันอย่างสมดุล ในความโดดเดี่ยว ฉันกลับพบการเติมเต็มในชีวิต อดีตเพื่อนร่วมงานโทรมาทักทาย อยากมาร่วมงานแต่จำวันผิด ตอนที่ฉันส่งข่าวไป ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับแม้ความสนใจ เพราะเคยชินกับผู้รับไร้เสียงตั้งแต่ทำงานบริการด้านข้อมูล หากคาดหวังผลตอบกลับอาจหมดกำลังใจในการทำงาน เพราะนานๆ ทีถึงจะมีเสียงสะท้อนกลับมาให้รับทราบว่า ฉันไม่ได้พูดอยู่คนเดียว ฉันเจอรุ่นน้องอีกคนที่เป็นอีตาบ้าข้อมูลคล้ายจะเหมือนกัน ด้วยความดีใจ มีอะไรก็ส่ง จนได้เสียงสะท้อนกลับ ไม่ใช่จากรุ่นน้องต่างเพศคนนั้นหรอกนะ แต่จากรุ่นน้องหญิงอีกคนที่กระทบกระเทียบว่า "ฉันชอบเด็ก" รู้สึกอาการร่าเริงเกินเหตุของฉันได้ก่อเหตุอีกแล้ว เฮ้อ พูดแต่ความทรงจำครั้งเก่า เอาเรื่องใหม่ๆ บ้างดีกว่ามั้ย

เรื่องช็อคละมัง คนเป็นไม่รู้ คนได้ยินวิเคราะห์ได้ คงอย่างนั้นละมัง อาจเป็นเครื่องแสดงว่าฉันมีความรู้สึกตอบรับรุนแรงต่อสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ตั้งคำถามล้มล้างความคิด ความเชื่อเดิม แล้วก็พบว่า มันไม่ได้มีความสำคัญใดๆ ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร ออกจะเป็นการดีสำหรับฉันด้วยซ้ำที่ทำให้ตัดสินใจได้เด็ดขาด ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง หรือเหลียวหลังกลับไปสนใจหรือวิเคราะห์หาเหตุผลใดๆ อีก แปลกใจในสิ่งที่ได้รับรู้ งงๆ กับความเป็นจริงที่อาจจะใช่ ก็แล้วไงล่ะ ก็แค่นั้น

ชีวิตก็ดำเนินไปตามครรลอง

เมื่อคืนก่อนหลับเป็นตาย เหนื่อยแบบฟิวส์ขาด หลับยาวเกิน 12 ชั่วโมง แต่แล้วก็ตื่นมาอย่างสดชื่น เริ่มวันใหม่กับการทำงานสะสาง จัดห้องหลังจากที่รกมานาน แต่จะมีอารมณ์รีดผ้าเมื่อไหร่ละหนอ

ได้กลับไปสถานที่จัดงานอีกครั้ง ด้วยรูปลักษณ์ที่ต่างออกไปจนมีคนทัก (อีกแล้ว) จริงๆ ก็ทักตั้งแต่วันงาน ในหน้าที่ก็เหมือนคนๆนึง จบงานแล้วก็เป็นอีกคน วันถัดมาก็มาแบบเปลือยเครื่องสำอาง ผู้หญิงเราก็เป็นอะไรได้หลายแบบอย่างนี้ละนะ สร้างสีสันไง บางครั้งอาจจะแดง บางครั้งอาจจะดำหรือคล้ำช้ำจนเขียวนะเธอ

หรือฟ้าอยากให้ฉันอายุยืน


วันก่อนดูทีวี ทราบว่าชนชาติที่อายุยืนที่สุด 3 กลุ่มมีวิถีการดำรงชีวิตเหมือนกันคือ ทุกเช้าจะต้องขึ้นเขาไปแบกน้ำมาใช้ การยกน้ำหนักทุกวันทำให้อายุยืน พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะดูแลสุขภาพหรือออกกำลังกาย แต่ชีวิตประจำวันและสภาพสิ่งแวดล้อมบังคับให้เขาทำเช่นนั้น


แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันละนั่น


ถ้าใครได้อ่านบล้อกเรื่องน้ำซึมปูน อาจจะยังพอจับต้นชนปลายได้ ขอฉันสรุปสั้นๆ สำหรับคนที่บังเอิญหลงมาในบล้อกของฉันนะ คอนโดที่ฉันอยู่มาได้ปีนึงพอดี วันดีคืนดีก็มีม่านน้ำตกไหลมาตามรอยยาปูนที่ผนัง และเลยเรื่อยมาถึงสวิตช์ไฟห้องน้ำ ยังไม่ถึงคราวของฉัน หรือบาปที่กระทำมันหนักหนาจนยังไม่มีเทวดาหรือยมทูตมารับตัวฉันไป ฉันเลยยังไม่โดนไฟดูดตาย ส่วนหน้าห้องฉันน้ำเจิ่งนองไปเกือบถึงประตูห้องถัดไป ฉันละกลัวใครจะหกล้มแล้วรับเคราะห์แทนฉันจริงๆ


แล้วช่างประจำตึกรวมทั้งบริษัทเจ้าของโครงการก็มะรุมมะตุ้มห้องฉัน ไอ้ฉันจะอาบน้ำก่อนเข้านอนตอนตีห้ากว่าๆ ละมัง เลยทำไม่ได้ ไอ้ครั้นจะถ่างตาเฝ้าก็คงไม่ไหว เพราะไม่ได้นอนมาเกือบ 24 ชั่วโมง เดือดร้อนขนาดต้องขอให้แม่บ้านที่บ้านแม่มาดูแทนแล้วฉันก็ขอหลบไปพักสายตาระหว่างที่ช่างทั้งหลายค้นหาสาเหตุประหลาดเรื่องนี้ แล้วเรื่องประหลาดก็มักจะเกิดกับห้องฉันซะด้วยซิ


แล้วก็พบว่าน้ำรั่วมาจากท่อน้ำบริเวณที่ห้องที่ติดกันเจาะที่ยึดที่ฉีดน้ำล้างก้น เธอเอ๋ยรูที่ฉันเห็นเล็กนิดเดียว แล้วการที่น้ำรั่วซึมในเนื้อปูนมานานอย่างน้อยหนึ่งปี พอนึกจะทะลักก็ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ม่านน้ำตกในห้องน้ำของฉัน กว่าช่างจะพบต้นตอปัญหา กระเบื้องห้องน้ำฉันก็ถูกสกัดออกไปจนน่าเกลียดกำลังเหมาะทีเดียว ช่วงเวลาที่ผ่านมา 2-3 อาทิตย์ ฉันก็ต้องมองห้องน้ำที่กระเบื้องถูกทำร้ายเสมอมา จนในที่สุดถึงวันที่ช่างปูกระเบื้องเอากระเบื้องมาติดแทนกระเบื้องเดิมที่สกัดออกไป ก็ดูดีอยู่หรอก แต่ต้องมายาแนววันหลังเพราะสียาแนวไม่ใช่สีเดียวกับสียาแนวเดิม


โอเค ฉันรับได้ ห้องเกือบจะเหมือนเดิมแล้ว แต่นั่นก็หลังจากฉันกวาดเช็ดถูทุกจุดในห้องน้ำนะเธอ การสกัดกระเบื้อง ผงฝุ่นละอองจิ๊บจ้อยเกาะไปทั่วทั้งห้องน้ำ ปัญหายังไม่หมดแค่นั้น ณ จุดที่ต่อก๊อกสำหรับเปิดปิดที่ฉีดน้ำล้างก้น น้ำยังซึมออกมา ไอ้ฉันก็คิดว่าเดี๋ยวไปซื้อเกลียวอะไรที่มันดีสักนิดนึงก็คงจะแก้ปัญหาได้ แต่วันนี้ช่างมานั่งทำ เปลี่ยนเกลียวก็แล้ว ปิดปั้มน้ำก็แล้ว น้ำก็ยังซึมออกมามิได้หยุดหย่อน ทำไงละนั่น ไอ้ฉันก็กลัวว่าความโหดของตัวเองที่เป็นที่เลื่องลือในหมู่คนใกล้ชิดจะแสดงอาการอย่างไม่เหมาะไม่ควร กำลังคิดอยู่ว่าฉันควรจะรอไปอีกวันหรือสองวันมั้ย แอบดีใจที่เพื่อนร่วมงานที่มาเจอะเจอกันในวันนี้ ยืนยันหนักแน่นว่า ไม่ได้หรอก ต้องซ่อมให้เลยเดี๋ยวนี้ เสียดายน้ำด้วย น่าจะหาถังหรืออะไรมารองไว้ นี่เราก็ต้องจ่ายค่าน้ำตายนะสิ คราวนี้ได้ทีเลยฉัน มีลูกคู่ เดินลุยหน้าเต็มที่ ไม่ได้ ไม่ยอม ต้องซ่อมให้ฉันเลยนะ แต่แล้วในที่สุดก็ตามช่างประปาที่มาซ่อมไว้คราวแรกไม่ได้ ได้พรุ่งนี้เช้า หรือก็คืออีกประมาณ 5 ชั่วโมงครึ่ง ฉันก็กะว่าจะนอนเร็วละนะ เพราะต้องตื่นมาดูช่างซ่อม และช่างก็ต้องซ่อมให้เสร็จภายในหนึ่งชั่วโมงเพราะฉันจะต้องออกไปติดต่อเรื่องงานข้างนอก แล้วก็รู้ๆ อยู่ว่า ช่างน่ะ เท่าที่ผ่านมาไม่เคยมาตรงเวลาเลย แถมยังเปลี่ยนชุดทุกครั้งที่เข้ามาทำ มองภาพรวมก็รู้แล้วว่า พอมีปัญหาก็โบ้ยกันไปกันมา สุดท้ายคนที่เดือดร้อนก็ยังคงเป็นฉันอยู่เช่นเดิม แต่หนนี้ก็ยังดีที่ช่างประปาคนที่ค้นพบปัญหาจะมาดำเนินการเอง


แต่ด้วยสัญชาตญาณของฉันก็บอกตัวเองว่า เรื่องมันไม่มีทางง่ายอย่างนั้นแน่ๆ เพราะเวลาฉันล้างจาน น้ำไหลดี เวลาฉันจะรดน้ำต้นไม้ น้ำไหลแรงฉี่ แต่พอเข้าห้องน้ำ น้ำไม่มีในชักโครก ที่ฉีดน้ำล้างก้นน้ำไม่ไหลแต่ที่จุดต่อก๊อกจากผนัง ไหลได้ไหลดี ฝักบัวอาบน้ำ ไม่มีน้ำจริงๆ และแล้วฉันก็คิดได้ว่าฟ้าต้องการให้ฉันอายุยืนนี่เอง ฟ้าอยากให้ฉันยกน้ำหนัก ฉันก็ยกถังน้ำจากระเบียงมาเติมถังใหญ่ในห้องน้ำ เพื่อใช้อาบน้ำ


คิดซะอย่างนี้แล้วก็สบายใจ ได้ออกกำลังกายเพราะห้องน้ำอาการประหลาดของฉันแท้ๆ เทียว

หรือฉันจะแก่จริงๆ

คิดอะไรแล้ว ไม่ได้ผิดไปจากที่คาดไว้เลย นัดแปดโมงช่างสะเด็ดมาอีกสิบห้านาทีเก้าโมง ดีนะที่ฉันเลื่อนนัดทำให้ออกจากบ้านสายได้อีกประมาณครึ่งชั่วโมง พอช่างมาถึงห้อง ฉันก็บอกว่ามีเวลาให้ครึ่งชั่วโมงนะคะ เพราะจะต้องออกไปข้างนอก คงจะกุลีกุจอทำพอสมควร เพราะในที่สุดก็รู้สาเหตุภายในเวลาอันรวดเร็ว เอาอีกแล้วค่ะ ท่านผู้ชม ต้องทุบกระเบื้องอีกแล้ว เพราะช่างคนก่อนๆ ขันน๊อตแน่นเกินไปท่อเลยปริแตก เฮ้อ อะไรมันจะแตกง่ายขนาดนั้นๆ เมื่อต้องสกัดปูน ห้องน้ำฉันก็เหมือนโดนฉีดสเปรย์ฝุ่นเข้าอีกแล้ว เรื่องไม่จบโดยเร็วแน่นอน แม่คือที่พึ่งยามยากเสมอมา กริ๊งกร๊างไปขอตัวแม่บ้านเหมือนเคย เห็นว่าจะมาถึงใน 30 นาที ฉันก็รอ ร้อ รอ อดรนทนไม่ไหว โทรเข้าหาคุณคนขับรถ(ที่จะต้องไปรับพ่ออยู่แล้ว แม่เลยให้ขับรถมาส่งคุณแม่บ้านด้วย)

"อยู่ที่ไหน"

"อยู่หน้าปากซอยแล้วครับ"

"รถติดมากเหรอ"

"ครับ รถติดมาก"


ควันที่ออกหูค่อยคลายอาการม้วนตัวลง

คุณแม่บ้านเดินมาอย่างปกติ ฉันก็เร็ว จับจูงกึ่งลากเข้าห้อง บอกว่าต้องทำอะไร ไหนๆ ก็ต้องเฝ้าแล้วกรุณารีดเสื้อที่ค้างไว้ร่วมเดือนให้ฉันที เตารีดไอน้ำใช้เป็นรึเปล่า ถ้าจะฉีดน้ำกดตรงนี้นะ จะรีดในห้องก็ได้ หรือจะมารีดข้างนอก ปลั๊กไฟอยู่นี่ หิวก็กินน้ำตรงนี้ หรือโอวัลตินกล่องอยู่ในตู้เย็น จดเบอร์มือถือให้อีกครั้ง มีปัญหาอะไรโทรเข้ามาทันทีเลยนะ

หลังจากพ่นพรวดๆ แล้ว ดิฉันก็จรลีเหยียบคันเร่งพุ่งปรี๊ดมุ่งหน้าไปจรัลสนิทวงศ์ ข้ามสะพานพระราม 8 ไปถึงที่หมายช้ากว่ากำหนด 10 นาที โชคดีที่ผู้ร่วมงานมาถึงก่อน ได้ตรวจงานไปแล้วหนึ่งรอบ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ เราจะทำงานคุณภาพ ก็ขออีกนิดน่า รู้อยู่ว่าคนที่เกี่ยวข้องทั้งไม่กล้าและรำคาญ อะไรจะมาจุกจิกจู้จี้ทุกสิ่งอัน แต่ก็เอาน่า การทำงาน วัตถุประสงค์ก็เพื่อให้งานสำเร็จ การที่ทำให้ผู้ร่วมงานพอใจมิใช่วัตถุประสงค์หลัก ระหว่างเน้นคุณภาพก็หวั่นใจในความรู้สึกอยู่ตลอด แม้ว่าจะท่องเอาไว้แล้วว่าเพื่องาน เพื่องาน หมู่นี้เลยต้องขยายความให้มากขึ้นอีกว่า รู้นะ ว่าเซ็ง ว่าเบื่อ ว่ารำคาญ แต่ถ้าใครพอพูดจากันรู้เรื่องและคิดจะพัฒนา เขาก็จะรับฟังและพยายาม หน้าที่ฉันคือ สรรหาวิธีพูด การปฏิบัติให้เป็นทุเรียนหนามทื่อ เมื่อก่อนมันแหลมเปี้ยวเลยนะเธอ นี่ทื้อลงเยอะแล้วขอบอก แต่จะทำให้ทุเรียนกลายเป็นแตงโมกลมกลิ้งกลอกไปเรื่อยก็หาได้ไม่ อันนี้มันคนละพันธุ์ ถ้าเป็นคนก็ไปเกิดใหม่ ถ้าเป็นทุเรียน ไม่รู้ว่ามีใครตัดต่อพันธุกรรมให้ออกผลเป็นแตงโมจากหน่อทุเรียนได้แล้วยัง

จากนั้นก็กลับมาเช็คข้อความโทรศัพท์บ้าน ให้เดือดเนื้อร้อนใจขไหนหนาด เรื่องคุณภาพอีกแล้ว คุณภาพของสิ่งที่เพิ่งไปเช็คคุณภาพ ของใหม่คือต้องเช็ค 100% ของเก่าคือหาทางชดใช้ ทดแทน เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสสร้างความประทับใจ อะไรที่คิดได้ ของแถมโปรโมชั่น ประเคนให้หมด ขอโทษขอโพยอย่างที่สุด จนได้พันธมิตรมาอีกหนึ่งราย พร้อมข้อมูล feedback ที่หาได้ยากในเมืองไทย เพราะคนไทยไม่ชอบพูดเพื่อให้มีการแก้ปัญหา แต่พูดเพื่อบ่นให้คนรอบตัวรับรู้ปัญหาของตน แล้วปากต่อปากก็จะทำให้สายเกินไปที่จะแก้ปัญหา ฉันถึงได้บอกว่าข้อมูลที่ได้เป็นข้อมูลที่ล้ำค่าอย่างไรเล่า

รีบสิ จัดการแก้ปัญหาภายในหนึ่งชั่วโมง เตรียมของ เตรียมรายละเอียด แล้วในใจก็นึกประหวั่นว่า เจ้าชายน้อยเสื้อส้ม วินมอเตอร์ไซด์ประจำของฉันจะทำได้ครบถ้วนตามที่ฉันต้องการหรือไม่ ฝนก็ตก แต่เจ้าชายของฉันบ่ยั่น เดี๋ยวซื้อเสื้อกันฝนที่เซเว่นก็ได้ นั่นคือคำตอบของคนที่รับผิดชอบต่องาน ไปธุระให้ฉันสองที่ กลับมาเปียกอย่างเห็นได้ชัด เพราะฝนจากที่พร่ำๆ มาตกหนักตอนขากลับนี่เอง แต่เจ้าชายก็น่ารักจริงๆ ทุกอย่างที่ฉันเขียนไป ทำได้ถูกต้องครบถ้วน ไม่ต้องกลัวเลยว่าฉันจะเปลี่ยนใจไปใช้บริการของเจ้าชายองค์อื่น จากนั้นก็ส่งของให้คนมารับ เป็นอันว่าวันนี้ฉันต้องเจอหน้าผู้คนมากกว่าเกณฑ์ปกติ ห้องน้ำเจาะเสร็จรอกระเบื้องมาติด (ฉันแอบบอกว่า น้ำก็ยังไหลอยู่เลย เวลาเอามือไปจับตรงข้อต่อ หรือหัวก๊อกที่จ่ายน้ำไปชักโครกกับที่ฉีดน้ำล้างก้น แต่ไม่รู้ล่ะ คราวหน้าอาการโหดของฉันคงได้แสดงฤทธิ์เดชเป็นแน่แท้) แม่บ้านรีดผ้าให้จนหมด ข้าวของยังเกะกะ เพราะรีบเตรียมการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส จัดห้อง กวาดบ้าน เก็บขยะ แล้วก็มานั่งอัพบล้อกอยู่นี่แหละ

เหนื่อยอะ ฟ้าอยากให้ฉันอายุยืน ท่องไว้

หรือฉันจะแก่จริงๆ